Macrophar

เช็กอาการ ลูกเป็นโรคสมาธิสั้น หรือแค่ซน?

สมาธิสั้น Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder (ADHD) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ลักษณะอาการที่สังเกตุง่าย อาทิ ขาดสมาธิ วู่วาม หุนหันพลันแล่น มีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงานและการเข้าสังคม เด็กบางคนมีอาการซนและหุนหันพลันแล่นเป็นอาการเด่น แต่บางคนมีอาการขาดสมาธิเป็นอาการเด่น โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder-ADHD) โรคสมาธิสั้น คือ กลุ่มอาการที่ประกอบด้วยการขาดสมาธิ  ควบคุมตนเองต่ำ  และซุกซน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม อาการของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน บางรายมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง และ ควบคุมตนเองต่ำเป็นอาการหลัก  บางคนอาจจะมีอาการขาดสมาธิเป็นปัญหาหลัก สำหรับเด็กๆ ที่มีอาการของโรคซนสมาธิสั้น จะมีความผิดปกติของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับอายุและระดับพัฒนาการ โดยมักมีอาการแสดงก่อนช่วงอายุ 7 ปี และมีอาการแสดงอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยแบ่งอาการออกเป็นดังนี้ สาเหตุของโรคสมาธิสั้น เกิดจากความบกพร่องของสารเคมีที่สำคัญบางตัวในสมอง  โดยมีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่สำคัญ  ปัจจัยจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงปัจจัยที่ทำให้อาการหรือความผิดปกติดีขึ้นหรือแย่ลง  มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือถูกสารพิษบางชนิด เช่น ตะกั่ว ในระหว่างตั้งครรภ์ จะมีโอกาสมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น 30-40% ของเด็ก สมาธิสั้น จะพบความบกพร่องในทักษะการเรียน (learning Disorders) ร่วมด้วย ประมาณ 20-30% ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายเมื่อเข้าวัยรุ่น เรียนหนังสือหรือทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ส่วนใหญ่ของเด็กสมาธิสั้นจะยังคงมีความบกพร่องของสมาธิอยู่  ดูเหมือนจะซนน้อยลง  ซึ่งจะเป็นผลต่อการศึกษาต่อการงาน และการเข้าสังคมกับผู้อื่น  สมควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรักษาโรคสมาธิสั้นในเด็ก การให้ความรู้ในการดำเนินโรคและข้อจำกัดของเด็กแก่พ่อแม่และคุณครู การรักษาทางยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว การช่วยเหลือทางด้านการเรียน ข้อแนะนำสำหรับครูในการช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้น จัดให้เด็กนั่งหน้าหรือใกล้ครูให้มากที่สุดในขณะสอน จัดให้เด็กนั่งให้ไกลจากประตู หน้าต่าง เขียนการบ้านหรืองานที่เด็กต้องทำในชั้นเรียนให้ชัดเจนบนกระดานดำ ตรวจสมุดจดงานของเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจดงานได้ครบ อย่าสั่งงานให้เด็กทำ พร้อมกันทีเดียวหลายอย่าง ให้เด็กทำงานเสร็จทีละอย่าง ก่อนให้คำสั่งต่อไป คิดรูปแบบวิธีเตือนหรือเรียกให้เด็กกลับมาสนใจบทเรียนโดยไม่ให้เด็กเสียหน้า เพิ่มงานที่ใช้แรงสำหรับกลุ่มที่อยู่ไม่นิ่ง เช่น เพิ่มเวลาเล่นกีฬา มอบหมายหน้าที่ให้ลบกระดาน ช่วยครูแจกงาน ให้ทำกิจกรรมที่ใช้แรง ให้เป็นนักกีฬาวิ่งเร็ว เป็นต้น ชมหรือรางวัลเมื่อเด็กทำตัวดีหรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทันที หลีกเลี่ยงการตำหนิ ว่ากล่าวรุนแรง หรือทำให้อาย ขายหน้า หรือการลงโทษทางร่างการ(ตี)เมื่อเด็กทำผิด เมื่อเด็กทำผิดพลาด ควรใช้วิธีการตัดคะแนน งดเวลาพัก ทำเวร หรืออยู่ต่อหลังเลิกเรียน(เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ) ให้เวลากับเด็กนานขึ้นกว่าเด็กปกติระหว่างการสอบ 1. น้ำมันปลา ในน้ำมันปลามีโอเมก้า 3 สูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสมอง และยังช่วยลดอาการอักเสบ จากการศึกษาพบว่า การทานน้ำมันปลาวันละ 1,000 มิลลิกรัม ช่วยให้อาการสมาธิสั้นดีขึ้นได้ มีงานวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า น้ำมันปลาจะช่วยทำให้อาการสมาธิสั้นในเด็ก (ADHD) ของเด็กๆ วัย 8-12 ปี ดีขึ้นได้ เพราะในน้ำมันปลามีโอเมก้า 3 นอกจากนี้ยังมีการทดลองให้เด็กๆ กินน้ำมันปลา และน้ำมันพริมโรส การทดลองพบว่า สามารถทำให้อาการสมาธิสั้นในเด็กอย่างเช่นอาการขาดความสนใจและความสามารถในการคิดอย่างรอบครอบของเด็กที่เป็นสมาธิสั้นวัย 7-12 ปีมีอาการดีขึ้นได้ นอกจากนี้น้ำมันปลายังช่วยเรื่องพฤติกรรม และช่วยเรื่องสมาธิในเด็กวัยต่ำกว่า 12 ปีอีกด้วย นอกจากเรื่องของสมาธิแล้ว ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่า น้ำมันปลาก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กๆ โดยการทดลองในประเทศออสเตรเลีย แบ่งเด็กๆ วัย 1 เดือนถึง 6 เดือนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้กินน้ำมันปลา ส่วนอีกกลุ่มได้กินยาหลอก (placebo) ที่ไม่ส่งผลใดๆ ต่อร่างกาย เมื่อเด็กทั้งสองกลุ่มอายุ 5 ขวบ ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้กินน้ำมันปลามีเอวเล็กกว่าเด็กที่ได้กินยาหลอก ซึ่งสมาคม American Heart Association กล่าวว่า การมีรอบเอวหนา หรือการมีไขมันสะสมที่เอวเยอะ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 2. วิตามิน B complex โดยเฉพาะในเด็กซึ่งต้องการวิตามิน บี มาก เพื่อช่วยในการสร้างเซราโทนิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินบี 6 3. แร่ธาตุรวม แร่ธาตุรวมบางชนิดช่วยให้ประสาทผ่อนคลายลง เช่น การทานแคลเซียมวันละ 500 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 250 มิลลิกรัม และซิงค์ 5 มิลลิกรัมต่อวัน 4. โพรไบโอติก โรคสมาธิสั้นอาจเกิดจากระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ การทานโพรไบโอติกจึงอาจช่วยได้ แนะนำให้ทานวันละ 25–50 ล้านตัวต่อวัน 5. กาบ้า สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท แนะนำให้ทานวันละ 250 มิลลิกรัม ก่อนทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะกาบ้าอาจขัดขวางการทำงานของยาบางชนิดได้ การรับประทานอาหารมีประโยชน์ เน้นรับประทานให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน นอกจากนี้อาจเสริมวิตามินบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะสมอง คุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองให้ลูกได้ด้วย “D’LEVER FISH OIL MINI” ที่มี DHA เข้มข้นมากถึง 240 mg ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลูกมีสมองที่ปลอดโปร่ง อารมณ์ดี และทำให้เขามีสมาธิมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างให้ลูกๆจากเด็กซนเป็นเด็กเก่งเเละฉลาด

ระวัง !! ของเล่นที่ลูกน้อยเอาของเข้าปากเป็นประจำ อาจทำให้ป่วยได้

ช่วงพัฒนาการของเด็กเล็กเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนา ทั้งด้านการเรียนรู้และด้านร่างกาย การเล่นของลูกจึงควรได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่ เพราะนั่นคือ “จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของลูก” ในช่วงนี้ก็มักจะมาพร้อมกับความวุ่นวายให้คุณพ่อคุณแม่ได้ปวดหัว โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่จะชอบมีพฤติกรรมหยิบของเข้าปาก ทำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นกังวล กลัวว่าของที่เอาเข้าปากจะมีเชื้อโรคสกปรกหรือถ้าลูกน้อยกลืนลงไปก็จะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นการทำความสะอาดของเล่นและการฆ่าเชื้อโรค ควรจัดอยู่ในรายการที่ต้องทำประจำเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย สาเหตุที่ลูกชอบเอาของเข้าปากนั้นเป็นพัฒนาการปกติตามวัย โดยเด็กแรกเกิด – 1.5 ปี จะเป็นช่วงวัยที่เรียนรู้จากปาก ซึ่งเด็กวัยนี้กำลังเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ลูกน้อยจะเรียนรู้จากการสัมผัส และสัมผัสที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด เข้าใจมากที่สุดตั้งแต่เกิด ก็คือประสาทสัมผัสทางปาก เพราะเป็นช่องทางการเรียนรู้ทั้งเรื่องรสชาติ สัมผัสที่แตกต่าง ความแข็ง ความนุ่ม ซึ่งลูกจะมีความสุขจากกิจกรรมทางปาก เช่น การดูด การเคี้ยว การกัด อย่างการหยิบของเข้าปากหรือการอมนิ้วนั่นเอง  นอกจากนี้เด็กวัยนี้ ยังไม่รู้ว่าของแต่ละชิ้นเอาไว้ทำอะไร เมื่อคว้าได้ก็จะหยิบเข้าปากเป็นปกติ  ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จริง ๆ แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นไปตามพัฒนาการ ที่ลูกน้อยกำลังเริ่มเรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพราะเขาอยากรู้ว่าของสิ่งนั้นมีสี สัมผัสแข็งหรืออ่อนอย่างไร นอกจากนั้นพฤติกรรมหยิบของเข้าปากก็ยังเป็นการฝึกประสาทสัมผัสระหว่างตากับกล้ามเนื้ออีกด้วย ควรทำความสะอาดของเล่นบ่อยแค่ไหน ? ควรทำทุกวัน สำหรับบ้านที่มีเด็กวัย 0-3 ขวบ ที่มักหยิบจับของเข้าปากตัวเอง หรือไม่ได้ล้างมือให้สะอาดแล้วนำมือมาหยิบอาหารเข้าปาก เชื้อโรคก็อาจเข้าสู่ร่างกายเด็กได้โดยง่าย และเด็กอายุมากกว่า 3 ขวบ ไม่ได้มีนิสัยเอาของเล่นใส่ปาก แนะนำให้ทำความสะอาดทุก 1-2 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีจำเป็นที่ต้องทำความสะอาดของเล่นหรือฆ่าเชื้อโรคทันที  แยกประเภทของเล่นก่อนทำความสะอาด  ก่อนจะเริ่มทำความสะอาด ก็ต้องมาแยกประเภทของเล่นกันก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาด เพราะของเล่นแต่ละประเภทก็จะทำความสะอาดแตกต่างกันออกไป ดังนี้ 1.วิธีทำความสะอาดของเล่นที่ทำจากไม้ เช่น กล่องดนตรี รถลาก กล่องหยอดรูปทรงเรขาคณิต ม้าโยก นำผ้าสะอาดชุบน้ํา บิดให้หมาดก่อนนำไปเช็ดของเล่นไม้ ไม่ควรใช้ผ้าเปียกๆ เช็ดของเล่น หรือนำของเล่นไปล้างน้ำ เพราะน้ําจะซึมเข้าไปในเนื้อไม้ และก่อให้เกิดเชื้อรา เป็นอันตรายต่อเด็กได้ เมื่อเช็ดเสร็จให้นําของเล่นไปตากแดดหรือให้ลมโกรกจนแห้ง แล้วค่อยเก็บของเล่นให้เข้าที่ 2.วิธีทำความสะอาดของเล่นพลาสติก และของเล่นที่ทำจากยาง เช่น ลูกบอล ของเล่นเขย่า ล้างด้วยน้ําสบู่ หรือเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด สะบัดน้ำออกให้หมดก่อนที่จะนำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท นำสำลีชุบแอลกอฮอล์ หรือทิชชู่เปียก มาเช็ดคราบฝังแน่น หรือแช่ของเล่นด้วยน้ำผสมสบู่เด็ก ก่อนจะล้างน้ำให้สะอาด  ใช้ผ้าสะอาดเช็ดของเล่น และผึ่งลมให้แห้ง การตากแดดนานๆ อาจทำให้วัสดุเสื่อมสภาพ 3.วิธีทำความสะอาดของเล่นที่ทำจากผ้า เช่น ตุ๊กตาผ้า โมบายห้อยแขวน นำของเล่นผ้าไปซักด้วยผลิตภัณฑ์ซักผ้าหรือผงซักฟอกที่ใช้ซักเสื้อผ้าเด็กที่มีคุณสมบัติอ่อนโยน หลังซักเสร็จให้บีบจนหมาด ก่อนนำไปตากแดดหรือผึ่งลมให้แห้ง สะบัดน้ำออกให้หมดก่อนที่จะนำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท หากต้องการซักตุ๊กตาขนนุ่มด้วยเครื่องซักผ้า กรุณาตรวจที่ป้ายก่อนว่าสามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้หรือไม่ และดูว่าควรใช้น้ำอุณหภูมิเท่าใด หากเป็นตุ๊กตาตัวโปรดของคุณหนูๆ ที่ค่อนข้างมอมแมม ควรโรยผงเบกกิ้งโซดาไปที่ตำแหน่งสกปรกก่อน แล้วผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อยลงไปน้ำระหว่างซักมือ เพื่อช่วยกำจัดคราบได้ง่ายขึ้น 4.วิธีทำความสะอาดของเล่นที่ต้องใช้แบตเตอรี่ เช่น รถบังคับ  ควรถอดแบตเตอรี่ออกจากของเล่นก่อนทำความสะอาด ระวังไม่ให้น้ำซึมเข้าไปในที่ใส่แบตเตอรี่ หลีกเลี่ยงการโดนน้ำในบริเวณที่เป็นแผงวงจรไฟฟ้า สำหรับการทำความสะอาดส่วนอื่นๆ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่เช็ดทำความสะอาดให้ทั่ว แล้วนำไปผึ่งลมให้แห้ง ก่อนเก็บของเล่น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ปลอดภัยต่อลูกน้อย การรักษาความสะอาดเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุด แต่ใช่ว่าทุกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจะส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะสารทำความสะอาดหลายชนิดก็มักมาพร้อมสารเคมีอันตรายรุนแรงที่อาจทำร้ายเจ้าตัวน้อยได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างใส่ใจเพื่อสุขอนามัยที่ดี ปราศจากน้ำหอม ปราศจากแอลกอฮอล์ เพื่อความปลอดภัยต่อผิวที่บอบบาง และระคายเคืองง่ายของลูกน้อย “..McDurée Hygienic Freshbio All Skin Spray..” ที่มีสารสกัดจากพืช  มีฤทธิ์ anti-microbial ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัสชนิดมีเปลือกห่อหุ้มเช่นเชื้อโควิด หนึ่งในสารธรรมชาติที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ซึ่งค้นพบจากน้ำมันมะพร้าว “Monolaurin” เป็นสารสกัดจากน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับน้ำนมเหลืองของแม่ สามารถติดอยู่บนผิวได้นานถึง 4 ชั่วโมง พ่นได้ทั้งบนผิวหน้า ผิวกาย เสื้อผ้า และสิ่งของ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าแอลกอฮอล์  ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและไม่เป็นอันตราย ฉีดแล้วสามารถหยิบจับ ทานอาหารต่อได้ ปลอดภัยต่อลูกน้อย อีกทั้งยังให้ความชุ่มชื้น และทำความสะอาดโดยไม่ต้องล้างน้ำออก” เพราะลูกน้อยต้องการการดูแล การทำความสะอาดของเล่นลูกน้อยนอกจากจะป้องกันไม่ให้ของเล่นเป็นแหล่งเชื้อโรคที่ทำให้ลูกป่วย ยังเป็นการตรวจเช็คสภาพว่า มีชิ้นส่วนใดชำรุด ควรซ่อมแซม หรือเสื่อมสภาพ การพบปะเชื้อโรคมีอยู่รอบตัว คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค และสอนให้ลูกน้อยหมั่นล้างมือวันละหลายๆ ครั้ง จนกลายเป็นนิสัย เพื่อจะนำไปสู่สุขอนามัยแบบยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องกีดกันลูกจากความสุขในการเล่นของเล่นอีกด้วย

ผมร่วง ผมบาง ไม่อยากศีรษะล้าน อย่ามองข้าม

เส้นผมสุขภาพดี ช่วยเพิ่มความมั่นใจและเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้นได้..แต่หากมีปัญหาผมร่วงไม่ว่าจากสาเหตุใด คงทำให้สูญเสียความมั่นใจได้เช่นกัน หลายคนต้องเจอกับ”ปัญหาผมร่วง” ผิดปกติอยู่บ่อยครั้ง หวีผมแล้วผมหลุดออกมา หรือเวลาสระผมแล้วผมร่วงไปติดที่ท่อเต็มไปหมดจนน้ำไม่ระบาย หรือนั่นคือสัญญาณของโรคหรือเปล่า ? หรือจริงๆแล้วการที่ผมร่วงเยอะเราขาดวิตามิน แร่ธาตุ หรือมาจากสาเหตุไหนกันแน่ รีบมาดูกันเลยดีกว่า เพื่อความสบายใจและรีบแก้ไขก่อนที่จะร่วงหนักไปมากกว่านี้ สาเหตุผมร่วงมาจากอะไรได้บ้าง ?  ผมร่วงจากพันธุกรรมภาวะนี้ คือภาวะผมร่วง หัวล้านที่เกิดขึ้นในเพศชายเป็นหลัก แต่ก็มีบ้างที่จะเกิดขึ้นในเพศหญิง โดยเราจะเรียกภาวะนี้ว่า ภาวะผมร่วงแบบแอนโดรจีนิค เกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน หรือฮอร์เมนเพศชายที่พบได้ทั้งชายหญิง ไปเป็นฮอร์โมน DHT (Dihyodrotestoserone) ที่เป็นอันตรายต่อรากผมอย่างมาก ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะมีอยู่ในเพศหญิงน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับเพศชาย แต่หากเมื่อใดที่ร่างกายเกิดภาวะฮอร์โมนเพศหญิงลดลง เช่น ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ก็จะทำให้ฮอร์โมน DHT ตัวนี้เด่นชัดขึ้นมา และแสดงอาการที่เหมือนกับที่เกิดในเพศชายได้นั่นเอง ผมร่วงจากอาการเจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจภาวะความเจ็บปวดนั้น จะทำให้รากกผมเข้าสู่ระยะพักตัว ซึ่งถือเป็นการปรับตัวของระบบร่างกาย ที่จะพักการทำงานในส่วนที่ไม่จำเป็นออกก่อนเพื่อโฟกัสในการรักษาตัวของร่างกายได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งผมจะกลับมางอกกลับมาใหม่ได้เองในระยะเวลา 6 เดือน ผมร่วงจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุลเกิดในหญิงที่คุมกำเนิดด้วยวิธีการกิน ฉีด ฝัง ยาคุมกำเนิด การรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยฮอร์โมนทดแทน วัยหมดประจำเดือน เป็นต้น ซึ่งการที่ฮอร์โมนต่างๆ เกิดการไม่สมดุลแบบนี้ จะทำให้รากผมเข้าสู่ระยะพักตัวได้ไวขึ้น ผมจึงหลุดร่วงมากขึ้น ผมร่วงจากการตั้งครรภ์และหลังคลอดในขณะที่ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนหลายตัวมักเพิ่มสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารก ทำให้ในช่วงที่ตั้งครรภ์คุณแม่หลายคนแทบจะไม่มีอาการผมร่วงมากวนใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันกับตอนหลังคลอดที่ฮอร์โมนจะกลับสู่สภาวะปกติ ทำให้เกิดภาวะผมร่วงตามมาได้ ทั้งนี้อาการผมร่วงที่ว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ ในช่วง 12-18 เดือนค่ะ ผมร่วงจากการใช้ยาบางประเภทยาบางประเภทมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงได้ เช่น ยารักษาสิว การรักษาด้วยเคมีบำบัด ยารักษาความดันโลหิตสูง ซึ่งหากเกิดผลข้างเคียงแบบนี้ขึ้น สามารถปรึกษาคุณหมอเพื่อหาทางออกได้ โดยอาจจะปรับเปลี่ยน หรือลดปริมาณตัวยาในการรักษาก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอเลย ผมร่วงจากพฤติกรรมของตนเองการใช้ความร้อนและสารเคมีการที่ใช้ลมร้อนเป่าทำให้ผมแห้งไว ส่งผลให้เส้นผมแห้ง แตกปลาย ขาดความชุ่มชื่น จนผมร่วงได้ รวมถึงการดัดผม การยืดผม และการทำสีผม ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เส้นผมอ่อนแอ บางคนรุนแรงถึงขั้นเกิดอาการแพ้หนังศีรษะ ผมร่วงจากการขาดวิตามินและแร่ธาตุ สารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม โดยเฉพาะ zinc โดยมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ซ่อมแซมผมที่อ่อนแอให้เจริญเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น มีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเส้นผม และยังช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะ ลดโอกาสการหลุดร่วงของเส้นผมได้ โดยปกติแล้วเส้นผมของคนเราสามารถหลุดร่วงได้ถึง 100 เส้นต่อวัน และอาจมากถึง 200 เส้นในวันที่สระผม ลักษณะผมร่วงในผู้หญิงจึงไม่ต่างกันกับของผู้ชายมากนัก เพราะก็คือการที่ผมร่วงมากกว่าปกติเหมือนกัน ผมร่วงทุกวันเป็นเรื่องปกติ ผมร่วงวันละ 20 เส้น 30 เส้น เป็นเรื่องปกติ แต่หากผมร่วงวันละ 200 เส้น ถือว่าผิดปกติแล้ว หากผมร่วงมากกว่า 50 – 60 เส้นในผู้ชาย หรือ 100 – 150 เส้นในผู้หญิง จะถือว่าผิดปกติ แต่หากเกินมาเล็กน้อย ก็ไม่ต้องกังวลมาก เพราะอาจจะเกิดจากการที่เป็นคนผมเยอะ หรือเกิดจากความผิดปกติเพียงเล็กน้อยของร่างกาย เช่นความเครียด พักผ่อนน้อย หากแก้ปัญหาเล่านี้ได้ ร่างกายจะกลับเป็นปกติเอง วิธีแก้ปัญหาผมร่วงด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่มีความร้อน ลดการใช้อุปกรณ์ทำผมที่ใช้ความร้อน ซึ่งทำให้เส้นผมสูญเสียความชุ่มชื้น งดใช้สารเคมีหรือยาบางประเภทที่ใช้กับเส้นผมและหนังศีรษะโดยตรง เช่น การทำสีผม ดัด ยืด ย้อม การกินยา หรือยาทาบนหนังศีรษะ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์แต่งผมและเคมี การที่เส้นผมโดนสารเคมีเป็นจำนวนมาก จะส่งผลต่อโครงสร้างทางเส้นผม จนนำไปสู่ปัญหาผมร่วง หลีกเลี่ยงผมอับชื้น ควรเช็ดผมให้แห้ง ไม่ควรเข้านอนทั้งที่ผมยังเปียกชื้น เพราะอาจทำให้เกิดความอับชื้นและเชื้อราบนหนังศีรษะได้ ซึ่งเชื้อราบนหนังศีรษะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีอาการคัน มีรังแค และผมร่วงเป็นหย่อม บางคนร้ายแรงถึงกับติดเชื้อของหนังศีรษะ ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส อาจทำลายรากผม ทำให้ผมร่วง ซึ่งต้องรักษาอาการติดเชื้อก่อนจึงจะฟื้นฟูเส้นผมได้ ใช้หวีที่เหมาะสม เลือกใช้หวีที่มีลักษณะซี่ห่าง และหลีกเลี่ยงการดึงผมแรง ๆ โดยเฉพาะการหวีผมในช่วงเส้นผมเปียก เพราะยิ่งทำให้เกิดผมร่วงได้ง่าย ๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลหนังศีรษะให้มีสุขภาพแข็งแรงจากภายใน เพราะอาหารที่เราทานเข้าไปเป็นสารตั้งต้นของการสร้างเซลล์ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงการเจริญเติบโตของเส้นผมด้วย เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เนื้อไม่ติดมัน ปลา ถั่วต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนและอะมิโนที่ดี  เพื่อรักษาสุขภาพของหนังศีรษะและเส้นผม ควรใช้น้ำอุณหภูมิปกติ เพราะการสระผมด้วยน้ำอุ่นจะส่งผลให้หนังศีรษะเกิดอาการแห้ง รูขุมขนกว้าง รากผมเกิดความอ่อนแอ จนผมร่วง ใช้โลชั่นบำรุงผมแก้ผมร่วง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับเส้นผมของตนเอง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ  ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของซิงค์ ซิงค์เป็นแร่ธาตุที่มีช่วยการเจริญเติบโตของเส้นผมและเล็บ โดยมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ซ่อมแซมผมและเล็บที่อ่อนแอให้เจริญเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น มีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเส้นผมและเล็บ และยังช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะจึงลดโอกาสการหลุดร่วงของเส้นผมได้ รู้ถึงสาเหตุที่ผมร่วงแล้วอย่าลืมบำรุงดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำลายเส้นผม และควรหมั่นรับประทานอาหารที่มีซิงค์ หรือหากคิดว่าไม่สามารถเลือกรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มสังกะสีในร่างกายได้ การรับประทานอาหารเสริมก็สามารถช่วยได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน การที่ร่างกายขาดซิงค์เป็นเวลานานจะส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆมากมายที่สังเกตได้เช่นอาการผมร่วงแตกปลายเล็บเปราะเล็บเป็นจุดสีขาวผิวหนังแห้งและอักเสบบาดแผลหายช้าภูมิคุ้มกันลดลงติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นเบื่ออาหารการรับรู้รสลดน้อยลงมีอาการซึมเศร้าหงุดหงิดขาดสมาธิเหม่อลอยเป็นต้น

เลซิติน (Lecithin) คุณประโยชน์หลากหลายดีต่อสุขภาพ

เลซิติน (Lecithin) เป็นไขมันชนิดฟอสโฟไลปิค (Phospholipid) ที่มีความจำเป็นต่อเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการเข้าออกของสารอาหารจะมีลักษณะแข็งและขาดความยืดหยุ่นถ้าไม่มีเลซิติน นอกจากนี้ยังพบว่าเลซิตินเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ และเซลล์ประสาท ในร่างกายมนุษย์และยังพบตามแหล่งธรรมชาติทั้งพืชและสัตว์โดยจะพบมากในไข่แดงสมองหัวใจถั่วเหลืองเมล็ดทานตะวันถั่วลิสงจมูกข้าวสาลีเป็นต้น ส่วนใหญ่อาหารเหล่านี้มักจะให้โคเลสเตอรอลสูงด้วย เลซิตินเองมีคุณสมบัติเป็น emulsifier หรือสารที่ทำให้น้ำกับน้ำมันเข้ากันได้ ดังนั้นจะพบว่าได้มีการนำเลซิตินมาใช้ในการควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงบำรุงสมองกันอย่างแพร่หลายนั้นเอง เลซิตินพบได้มากในถั่วเหลือง แต่แหล่งอาหารที่ให้เลซิตินยังมีอีกมากมาย อาทิ ไข่แดง ตับ ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อสัตว์ ปลา บริวเวอร์ยีสต์ และพืชบางชนิด ทั้งนี้อาจจะรวมถึงผลิตภัณฑ์ Multi-Vitamin ที่มีเลซิตินผสมอยู่ด้วย เลซิตินที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่สองชนิด คือ แกรนูล และแคปซูล ชนิดแกรนูลนิยมรับประทาน โดยผสมกับเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ เช่น นม นมเปรี้ยว น้ำผลไม้ ฯลฯ และยังนิยมให้ผสมหรือโปรยบนอาหารประเภทต่าง ๆ อีกด้วย 1.ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอลสูงในเลือดป้องกันโรคสมองและหัวใจขาดเลือด เลซิตินทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายไขมันในหลอดเลือดทำให้ไขมันแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆไม่จับกันเป็นก้อน จนไปอุดตันผนังหลอดเลือด และไหลเวียนไปกับกระแสเลือด เลซิตินจึงเป็นสารอาหารที่สามารถป้องกันการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหลอดเลือดอุดตัน รวมถึงสมองและหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเพิ่มการเผาผลาญ และการขับถ่ายไขมันคอเลสเตอรอลผ่านทางอุจจาระ อีกทั้งยังช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลรวมในเลือด (Total Cholesterol) มีการศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองและผู้มีภาวะระดับโคเลสเตอรอลสูงพบว่า เลซิตินจะลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล สามารถลดระดับไขมันชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ อีกทั้งช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ได้อีกด้วย จากคุณสมบัติดังกล่าวจึงทำให้ลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด อันนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือหัวใจวายเฉียบพลัน 2.ช่วยการทำงานของตับ ในสารอาหารเลซิตินจะมีสารสำคัญ คือ ฟอสฟาทิดิล โคลีน (Phosphatidyl choline) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นตับให้เผาผลาญ และทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบำรุงเซลล์ตับ ป้องกันตับอักเสบ ป้องกันตับแข็ง พร้อมช่วยป้องกันการเกิดความผิดปกติจากสารเคมีและสารพิษต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ และยา ทั้งนี้ได้มีการศึกษาในลิงบาบูน พบว่าเลซิตินสามารถป้องกันการเกิดโรคตับแข็งเนื่องจากการรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยเลซิตินจะไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์คอลลาจีเนสในตับ จึงลดการสร้างผังผืดในตับ ลดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการพัฒนาไปสู่โรคตับแข็ง ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันบริเวณตับ จึงไม่เกิดอนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์และป้องกันภาวะจากการอักเสบของตับ 3.ลดภาวะไขมันพอกตับ โคลีน (Choline) คืออีกหนึ่งสารสำคัญที่อยู่ในเลซิติน ทำหน้าที่คอยเร่งการทำงานของระบบเผาผลาญไขมันที่ตับ ให้ไขมันถูกดึงไปใช้เป็นพลังงานมากขึ้น ไม่เกิดการสะสม และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลที่เป็นสาเหตุในการเกิดไขมันพอกตับ  4.ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดีมีสาเหตุมาจาก ในน้ำดีมีปริมาณของไขมันโคเลสเตอรอลสูงจนเกินไป เลซิตินมีคุณสมบัติเป็นตัวช่วยเพิ่มความสามารถในการทำละลายของน้ำดี ทำให้สารแขวนลอยในน้ำดีไม่จับตัวเป็นก้อนจนกลายเป็นนิ่ว เพิ่มการหลั่งและการไหลเวียนของน้ำดี ป้องกันการอุดตันที่ท่อน้ำดี และลดค่าดัชนีไขมันอิ่มตัว 5.ช่วยการย่อยอาหารลดน้ำหนัก เลซิตินมีคุณสมบัติในการช่วยละลายไขมัน วิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค จึงช่วยลดการสะสมของไขมัน และช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น 6.บำรุงสมองเสริมความจำ ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ เสริมสร้างความจำ และลดอาการอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากโครงสร้างของเลซิติน มีสารประกอบที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ โคลีน (Choline) ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญของสมอง ที่ชื่อว่า สารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ดังนั้นหากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอก็จะช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้ ทางการแพทย์จึงมีการนำเลซิตินมาใช้ในการบำบัดโรคทางสมองต่างๆในปัจจุบัน เช่น โรคพาร์คินสัน และโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์ประสาทขาดสารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) หรือในคนชราที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม โดยพบว่าผู้สูงอายุที่มีภาวะความจำเสื่อมบางรายจะมีอาการดีขึ้น เมื่อรับประทานเลซิตินวันละ 25 กรัม ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้นพบว่า เมื่อได้รับโคลีนเป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ หรือการให้โคลีนร่วมกับยาที่ใช้รักษา จะช่วยพัฒนาความสามารถที่ต้องใช้ความจำเพิ่มขึ้นได้ การเลือกกินเลซิตินก็เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเลซิตินที่ดีนั้น จะต้องเป็นเลซิตินบริสุทธิ์ สกัดจากถั่วเหลือง หรือพบจากแหล่งสะสมอื่นตามธรรมชาติ เช่น ไข่แดง เมล็ดทานตะวัน ตับ และบริเวอร์ยีสต์ (ยีสต์ที่เพาะไว้เพื่อใช้เป็นอาหารเสริมโดยเฉพาะ) ที่ไม่ผ่านการฟอกสี ผ่านความร้อน เช่น ทอด ย่าง ต้ม หรือสารอันตรายต่อตับ ที่สำคัญหากต้องการได้รับเลซิตินที่เพียงพอต่อการบำรุงร่างกาย สมอง หรือตับ แนะนำให้กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติม และควรเลือกจากแหล่งที่ผลิตภายใต้มาตรฐานการผลิตยาระดับสากลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก GMP ของประเทศไทย เพื่อความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยต่อร่างกายในระยะยาว ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com/article_detail/2000/th/รู้หรือไม่? _ไม่อยากสมองเสื่อม…ต้องเสริมด้วย_ “เลซิตินhttps://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1280/lecithin-เลซิติน

Zinc (ซิงค์) ช่วยพัฒนาการการเจริญเติบโต และเสริมภูมิคุ้มกันเด็กจริงไหม ?

ในช่วงขวบปีแรกของชีวิต ทารกมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ได้แก่ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการ และสารอาหารที่ครบถ้วนเหมาะสมดังนั้นทารกจึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารต่างๆ อย่างเพียงพอเพื่อให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการต่างๆ สมบูรณ์  บทบาทของ zinc ต่อการเจริญเติบโต กระตุ้นการทำงานของสารสื่อประสาท (neurotransmitter)  กระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้เด็กกินอาหารได้มากขึ้น กระตุ้นการแบ่งตัวของเซล์กระดูก มีความสำคัญต่อการสร้างกระดูก กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone)  ควบคุมการแสดงออกของยีน เกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีนที่เป็นเอนไซม์และฮอร์โมนในขบวนการต่างๆของร่างกาย บทบาทของ zinc ต่อสมองและพัฒนาการ ทารกมีการเจริญเติบโตของสมองและพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว โดยสมองจะมี zinc ในปริมาณมาก zinc เป็นตัวจับกับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างและหน้าที่ของสมอง รวมทั้งโปรตีนที่เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาท หลายชนิดที่เกี่ยวซ้องกับการจดจำและการเรียนรู้ บทบาทของ zinc ต่อระบบภูมิคุ้มกัน Zinc ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของเชลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อการแบ่งตัวของเซลล์ (cell division) และการเปลี่ยนสภาพของเซลล์ (cell differentiation) อยู่ตลอดเวลา มีความเกี่ยวข้องกับการหลั่ง cytokines บางชนิดที่ก่อให้เกิดกลไกการอักเสบ (inflammation) ในร่างกาย จะเห็นได้ว่า zinc มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในหลายๆ ด้าน โดยจากการศึกษา พบว่า การให้ zinc เสริมควบคู่ไปกับการรักษาการติดเชื้อในกลุ่มผู้ป่วยเด็กมีผลดีแตกต่างกันไปตามลักษณะการติดเชื้อ เช่น การศึกษาในกลุ่มเด็กที่ได้รับ zinc เสริมมีอุบัติการณ์ของ หูชั้นกลางอักเสบเป็นหนอง (suppurative otitis media) หลอดลมฝอยอักเสบ (bronchiolitis) และการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนต่ำกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่ได้รับ zinc และอีกการศึกษา พบว่า การให้zincในกลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันได้เป็นเวลา 0.5 วัน รวมทั้งกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการเสริมzincมีความรุนแรงของโรคน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับzinc ในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีที่มีภาวะอุจจาระร่วงยืดเยื้อ (persistent diarrhea) การให้ zincเสริมช่วยลดระยะเวลาการเกิดอาการได้เป็นเวลา 0.68 วัน เป็นต้น Zinc เป็นแร่ธาตุหนึ่งที่สำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและพัฒนาการของสมอง ทารกในครรภ์จะสะสม zinc ที่ได้รับจากมารดาไว้ในร่างกายผ่านทางรกหลังจากทารกเกิด zincในร่างกายของทารกจะถูกใช้ไปตามความต้องการใน แต่ละวัน นอกจากนี้ทารกได้รับ zinc เพิ่มจากอาหารซึ่งได้แก่ นมแม่ ซึ่งมีปริมาณzincเพียงพอต่อความต้องการของทารในวัยดังกล่าว และ zinc ในนมแม่อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายทารกสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้มาก (high bioavailability) นอกจากนั้น ในช่วงอายุนี้ ทารกยังมี zinc ที่สะสมไว้ที่ตับตั้งแต่ช่วงอยู่ในครรภ์มารดาด้วย เป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญสำหรับทารกในช่วงอายุ 6 เดือนแรกของชีวิต zinc ในนมแม่ของทารกแรกเกิดครบกำหนดจะมีปริมาณแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุของทารก โดยระดับสังกะสีในนมแม่มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือนแรก หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงในอัตราที่ช้าลง ปริมาณ zinc ในนมแม่ยังคงเพียงพอสำหรับความต้องการของทารกในช่วงอายุ 6 เดือนแรก  เมื่อทารกอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ปริมาณ zinc ในนมแม่จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายทารก รวมทั้งปริมาน zinc ที่สะสมไว้เริ่มหมดไป ทารกจึงจำเป็นต้องได้รับ zinc เพิ่มเติมจากการได้รับอาหารตามวัยสำหรับทารก (complementary food)  อาหารตามวัยสำหรับทารกที่ทารกได้รับจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยขึ้นอยู่กับสภาพทางสังคม วัฒนธรรมและความเชื่อ แหล่งอาหารที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น นอกจากนี้ชนิดของอาหารตามวัยมีความสำคัญ โดยอาหารตามวัยที่ทำมาจากพืชผัก เช่น ผักชนิดต่างๆ ธัญพืช ถั่ว เป็นต้น ไม่เป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับ zinc แม้ว่าพืชบางชนิดมีปริมาณ zinc มาก แต่พืชเหล่านั้นมีส่วนประกอบที่เป็นสารไฟเตท (phytate) ซึ่งยับยั้งการดูดซึม zinc ที่ลำไส้เล็ก ทำให้ผู้บริโภคพืชเหล่านั้นได้รับปริมาณzincน้อยลง ส่วนอาหารประเภทเนื้อสัตว์นับเป็นแหล่งอาหารที่มี zinc มาก และถูกดูดซึมได้ดี  องค์การอนามัยโลก และ European Society for Pediatric Gastroenterology, Hepatology and Nutrition(ESPGHAN) จึงได้แนะนำว่า เมื่อทารกพร้อมที่จะรับอาหารอื่นนอกจากนม ให้ทารกได้รับอาหารตามวัยประเภทเนื้อสัตว์ เป็นอาหารประเภทแรกๆ และควรได้รับเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ทารกมีปัญหาขาดสารอาหารบางชนิด ซึ่งรวมถึง zinc และเหล็ก Zinc เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อทารก ทั้งในด้านการเจริญเติบโต พัฒนาการ และภูมิคุ้มกัน ดังนั้น ทารกควรได้รับ zinc จากอาหารในปริมาณที่เพียงพอ โดยเริ่มต้นที่การได้รับนมแม่ การได้รับอาหารตามวัยที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นให้ทารกรับอาหารได้หลากหลาย บริโภคอาหารที่มีประโยชน์และถูกต้องตามหลักโภชนาการในอนาคต ทั้งนี้เพื่อให้ทารกเติบโต มีพัฒนาการเหมาะสม และสติปัญญาที่ดีเต็มศักยภาพ รวมทั้งลดโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยต่างๆที่อาจเกิดขึ้น

How to..ดื่มหนักแต่ไม่อยากแฮงค์ ง่ายๆตามนี้เลย

จบงานปาร์ตี้หรือช่วงเทศกาลทีไร เป็นต้อง เมาค้าง ทุกที แต่สำหรับนักปาร์ตี้แล้ว บรรยากาศในวงเหล้า เคล้าเสียงเพลง และสังคมหมู่เพื่อน คือ เสน่ห์อย่างหนึ่งของการสังสรรค์มากกว่ารสชาติของแอลกอฮอล์ขมๆ เสียอีก เมื่อความสนุกสนานเริ่มขึ้น แอลกอฮอล์จะช่วยเติมเต็มให้ค่ำคืน หอมหวนและอบอวลไปด้วยความสุขเพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง และคลายกล้ามเนื้อ เมื่อได้รับปริมาณเล็กน้อยจึงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แอลกอฮอล์มีชื่อทางเคมีว่า  Ethanol หรือ Ethyl Alcohol จัดเป็นสารกดประสาทชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มไปแล้ว ร่างกายเราจะทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดออกไป  แต่ผลกระทบอาจจะไม่ใช่แค่รอตับกำจัดแค่นั้น แต่ระหว่างที่รอ แอลกอฮอล์จะส่งผลมากมายต่อร่างกาย  เมื่อแอลกอฮอล์เดินทางไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เพื่อดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด ตับอ่อนจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา หากว่าเราปล่อยให้ท้องว่าง ระดับน้ำตาลในเลือดจะน้อยอยู่แล้วเป็นทุนเดิม หากเผลอดื่มแอลกฮอล์ไปทีละมากๆ จะยิ่งถูกฮอร์โมนอินซูลินออกมาขโมยน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง จึงเกิดอาการคล้ายน้ำตาลตก และจะเริ่มมีอาการมึนๆ งงๆ ตามมา และมึนเมาได้ไวกว่าคนที่รองท้องมาด้วยอาหาร หรือทานของแกล้มไปด้วย  เมาค้างหรืออาการแฮงค์ (Hang Over) คือกลุ่มอาการไม่พึงประสงค์จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โดยอาการเมาค้างจะเกิดขึ้นเมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงซึ่งตรงกับช่วงเช้าอีกวันหลังจากที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในคืนก่อน ทั้งนี้ ชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปริมาณที่ดื่มเข้าไปก็ส่งผลให้เกิดอาการเมาค้างที่แตกต่างกัน หากร่างกายได้รับปริมาณแอลกอฮอล์มาก ก็จะทำให้เกิดอาการเมาค้างมากขึ้นตามไปด้วย สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการเมาค้างคือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และเกิดอาการอักเสบในร่างกาย บางคนสามารถเกิดอาการเมาค้างได้แม้ดื่มไม่มาก ส่วนบางคนอาจต้องดื่มในปริมาณมากถึงจะเกิดอาการ โดยปริมาณแอลกอฮอล์ที่ได้รับเข้าไปนั้นส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดอาการเมาค้างต่าง ๆ ดังนี้ 1.ผลิตน้ำปัสสาวะมาก เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้าไป แอลกอฮอล์จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตน้ำปัสสาวะมาก ทำให้ผู้ดื่มต้องปัสสาวะบ่อยกว่าปกติจนนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งมักปรากฏออกมาเป็นอาการกระหายน้ำ เวียนศีรษะ และมึนศีรษะ 2.เกิดการอักเสบของร่างกาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางอย่างทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ และส่งผลต่อสารเคมีในสมองที่เรียกว่า สารสื่อประสาท ซึ่งทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ มีความอยากอาหารลดลง หรือรู้สึกเบื่อกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นปกติ 3.ระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหารให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ย่อยอาหารได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ผู้ดื่มมักปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน 4.ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ตัวสั่น อารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง รวมทั้งเกิดอาการชักขึ้นได้ 5.หลอดเลือดขยาย หากหลอดเลือดในร่างกายขยายออกอันเป็นผลจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกปวดศีรษะได้ 6.นอนหลับไม่เพียงพอ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ส่งผลต่อประสิทธิภาพการนอนหลับ เนื่องจากแอลกอฮอล์ส่งผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้ผู้ดื่มอาจนอนหลับไม่สนิทหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้เกิดอาการเพลีย เดินเซ และเหนื่อยล้า วิธีแก้เมาค้าง แก้แฮงค์ มีอะไรบ้าง? ดื่มมาก็หนัก แต่งานก็ไม่สามารถทิ้งได้ แบบนี้ต้องทำอย่างไรดีนะ? ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ตามจากงานวิจัยหลายแห่ง ระบุว่า ไม่มียาแก้เมาค้าง หรือสามารถแก้แฮงค์สูตรสำเร็จได้ผล 100% แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการแก้เมาค้างเลย โดยวิธีแก้เมาค้างมีหลากหลายวิธี ดังนี้ 1.หมั่นดื่มน้ำเปล่าตาม 1-2 แก้ว ทุกชั่วโมง สำหรับคำถามยอดฮิตอย่างการกินอะไรแก้เมาค้าง แก้แฮงค์ แรบบิทแคร์บอกได้เลยว่า การดื่มน้ำเปล่าจะชช่วยขับสารพิษในร่างกายอย่างแอลกอฮอล์มาในรูปแบบของปัสสาวะได้ดีที่สุด นอกจากช่วยสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ยังช่วยควบคุมความดันโลหิต ควบคุมอุณหภูมิ แก้เมาค้าง แก้แฮงค์ได้ดี 2.ดื่มน้ำขิง,น้ำผึ้งมะนาว, มะพร้าว หรือ น้ำใบโหระพา มีเครื่องดื่มหลากหลายที่ช่วยแก้เมาค้างได้เป็นอย่างดี โดยแรบบิท แคร์ ขอแนะนำ น้ำขิง, น้ำผึ้งมะนาว, มะพร้าว หรือ น้ำใบโหระพา ที่มีสรรพคุณช่วยแก้แฮงค์ ช่วยลดสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายได้ดี บางชนิดอย่างน้ำขิงมีฤทธิ์เผ็ดร้อน ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ลดอาการปวดหัว บางชนิดอย่างน้ำผึ้งมะนาว ช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นด้วย 3.ทานผลไม้ ดื่มเครื่องดื่มวิตามิน หรือทานเกลือแร่ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินซี หรือวิตามินดี ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายสร้างความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และลดอาการปวดหัวจากอาการแฮงค์ ลดอาการคลื่นไส้ได้ ดังนั้น การเลือกดื่มเครื่องดื่มวิตามิน ทานผลไม้ หรือเกลือแร่ เพื่อเสริมวิตามิน หรือชดเชยภาวะขาดน้ำในร่างกายที่ขาดหายไปได้ โดยการดื่มหรือทานแต่พอดีนั่นเอง 4.ดื่มนมช็อกโกแลต หรือน้ำอัดลม เนื่องจากในช็อกโกแลตอุดมไปด้วยวิตามิน สารอาหาร กาเฟอีน และสารให้ความหวานที่จะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย เป็นวิธีแก้เมาค้างและปวดหัวได้อย่างเร่งด่วนหรือใครที่ไม่ชอบดื่มนม อาจเลือกเป็นน้ำอัดลมโคล่าก็ได้ เพราะในน้ำอัดลมกลิ่นโคล่าจะช่วยลดสารอะซิทัลดีไฮด์และเอทานอล ซึ่งเป็นสาเหตุของการปวดหัวได้ดี นอกจากนี้ยังมีน้ำตาลเพื่อความสดชื่นให้ร่างกาย และแก้เมาค้าง แก้แฮงค์ได้เช่นเดียวกัน 5.กินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต หลังจากการดื่มแอลกอฮอล์และปาร์ตี้อย่างหนักแล้ว อาจจะเกิดอาการท้องว่างและหิวได้ ดังนั้น การกินอาหารแก้แฮงค์ตอนเช้า จำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว, ขนมปัง, ซีเรียล ก็จะช่วยทำให้อิ่มท้อง เพิ่มน้ำตาลในเลือด และแก้อาการเมาค้าง 1.ขิง ขิงจะมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการคลื่นไส้ ช่วยทำให้ฟื้นจากอาการปวดหัว และยังช่วยระบบขับถ่ายเอาแอลกอฮอล์ออกมาอีกด้วย เพียงแค่เตรียมน้ำขิงร้อนๆผสมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาว โดยนำน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ผสมกับน้ำร้อนแล้วคนให้เข้ากัน 2.ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ไปเพิ่ม ALDH ช่วยกำจัดสารพิษที่เกิดจากแอลกอฮอล์, ลดระดับแอลกอฮอล์และสารพิษที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (Acetaldehyde) ในเลือดได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST, ALP) ได้อีกด้วย 3.โกจิ เบอรี่ เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับ ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ ALDH ช่วยให้ตับขับสารพิษได้ดีขึ้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องตับจากการเกิดผังผืดที่ตับและตับแข็ง  4.แดนดิไลออน มีฤทธิ์ช่วยบำรุงตับ โดยกระตุ้นการสร้างน้ำดีที่ตับและเพิ่มการไหลน้ำดีไปยังถุงน้ำดี กระตุ้นการหดตัวและการคลายตัวของถุงน้ำดี ในขณะเดียวกันรากของแดนดิไลอ้อนมีสารโคลีนปริมาณสูง ส่งผลทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับและถุงน้ำดี ทำให้ภาวะโรคตับต่างๆ ดีขึ้น เช่น ท่อทางเดินน้ำดีอักเสบ, ตับอักเสบ, ดีซ่าน, ตับแข็ง 5.โคลีน เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับ ช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปสะสมที่ตับและป้องกันการเกิดไขมันพอกตับ ฟื้นฟูการทำงานของตับ ข้อควรรู้หนึ่งอย่างหลังดื่มเสร็จ หากมีอาการปวดหัวอย่ารับประทานยาเพื่อบรรเทาโดยทันที เพราะร่างกายมีปริมาณแอลกอฮอล์สะสมอยู่มาก เมื่อยาเจอกับแอลกอฮอล์อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อตับได้ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากส่งผลกระทบต่อสมองแล้ว ยังผลต่อตับ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันสะสมที่ตับ (fatty liver) รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้สารพิษที่ร่างกายได้รับมาสะสมในตับ หากดื่มบ่อยๆ อาจนำไปสู่ตับอักเสบ พังผืดที่ตับ ในที่สุด ก็จะกลายเป็นตับแข็งได้ หากไม่สามารถเลิกได้ ควรดื่มอย่างมีสติและพอประมาณ ไม่มากจนเกินไป นอกจากจะไม่ต้องเสียเวลาแก้เมาค้างแล้ว การเว้นวรรคให้ร่างกายได้พักผ่อนฟื้นฟูจะเป็นผลดีมากกว่า ที่สำคัญ หากเมาแล้วไม่ควรขับรถ ไม่ว่าจะดื่มมากหรือน้อยก็ตาม เพราะการขับรถทั้งที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในเลือด อาจทำให้ผลการตัดสินใจต่าง ๆ ลดลง และเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายด้วย สุขภาพที่ดี เรากำหนดได้เอง จากการดื่มอย่างมีสติและพอประมาณ

รู้หรือไม่ ? ทานกินผัก-ผลไม้วันละ 400 กรัม ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรค

“ผักผลไม้” ยิ่งกินยิ่งดี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าในหนึ่งวัน ควรกินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม โดยแบ่งเป็นผัก 3 ส่วนและ ผลไม้ 2 ส่วน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง (NCDs) 6 โรคได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง และหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และ โรคอ้วนลงพุง การบริโภคอาหารที่ไม่สมดุลอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลต่อกับการเป็นโรคในกลุ่ม NCDs ซึ่งการกินผัก และผลไม้ไม่เพียงพอ ก็เป็นอีกหนึ่งในพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรค นอกจากนี้ยังทำให้สุขภาพโดยรวมแย่ลงอีกด้วย การบริโภคผักและผลไม้ ผักและผลไม้..เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน ใยอาหาร ที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยบำรุงระบบภายในร่างกายให้ทำงานได้อย่างสมดุล โดยเฉพาะ Vitamin B6, Folic, B12, C และสารสำคัญในผักผลไม้ เช่น เบต้าแคโรทีน มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ต้านเชื้อแบคทีเรีย การรับประทานผักผลไม้อย่าสม่ำเสมอ เหมาะกับคนที่ไม่สบายบ่อย และยังช่วยให้ไม่ป่วยง่ายอีกด้วยการกินผัก และผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรเลือกกินผัก และผลไม้ให้หลากหลายชนิด สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เพื่อให้คุณค่าสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามิน และ ใยอาหารจากผัก และผลไม้อย่างครบถ้วน สำหรับผู้ใหญ่ แนะนำให้กินผักให้ได้วันละ 6 ทัพพี (ผักที่ปรุงสุก จะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 50 กรัม ต่อ 1 ทัพพี) และ กินผลไม้ 2-3 ส่วน ต่อวัน (ผลไม้ 1 ส่วนจะมีน้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม) ซึ่งการปฏิบัติตามสัดส่วนนี้ จะทำให้สามารถกินผัก และผลไม้ได้ตามปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือที่ 400 กรัมต่อคนต่อวัน นอกจากนี้ผักแต่ละสียังอุดมไปด้วยประโยชน์ต่างกัน สีสันเหล่านั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นเม็ดสีที่พืชสร้างขึ้น ตามแต่ละลักษณะและชนิดของผักผลไม้นั้นๆ ซึ่งสีเป็นตัวบ่งบอกสารอาหารที่มีแตกต่างกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 5 สี 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.ผักผลไม้สีเขียว สีเขียวในผักและผลไม้มาจากเม็ดสีของสารที่มีชื่อว่า คลอโรฟิลด์ (Chlorophyll) เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็ง ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอย นอกจากนี้การทานผักใบเขียวเป็นประจำจะช่วยให้การขับถ่ายดี ลดอากาท้องผูก เนื่องจากผักเหล่านี้มีกากใยสูงมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก โดยจะมีตั้งแต่เขียวเข้มจัด ได้แก่ คะน้า สาหร่ายบางชนิด ตำลึง ผักใบเขียวต่างๆ และสีเขียวแบบทั่วไป เช่น แอปเปิ้ลเขียว ฝรั่ง ผักกาด 2.ผักผลไม้สีแดง ผักและผลไม้ที่มีสีแดงคือ ไลโคปีน (Cycopene) และ เบตาไซซีน (Betacycin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตามอวัยวะต่างๆในร่างกาย แต่จะเด่นที่สุดคือช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก รองลงมาคือมะเร็งปอด และมะเร็งที่กระเพาะอาหาร นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์เรื่องผิวพรรณ ลดการเกิดสิวและทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้อีกด้วย ผักและผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มสีแดงได้แก่ มะเขือเทศ สตรอเบอร์รี่ บีทรูท เชอรี่ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และกระเจี้ยบแดง 3.ผักผลไม้สีเหลืองและส้ม ผักและผลไม้ที่สีเหลืองจะมีสารที่ชื่อว่า ลูทีน (Lutein) อยู่มาก ซึ่งมีประโยชน์โดยตรงกับดวงตา ช่วยป้องกันและชะลอความเสื่อมของจอประสาทตาในผู้ใหญ่ และมีส่วนช่วยในการพัฒนา การมองเห็นในเด็กเล็กได้อีกด้วย สำหรับผักและผลไม้ที่มีสีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล,ไขมันในเส้นเลือด ช่วยให้ผิวพรรณสดใส รักษาความชุ่มชื่นให้ผิว ลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยส่งเสริมและสร้างภูมิคุ้มกัน  ซึ่งผักและผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มสีเหลืองและส้มได้แก่ ส้ม แครอท มะละกอ มะนาว สับปะรด ฟักทอง มันเทศ ขนุน เสาวรส และ ข้าวโพด 4.ผักผลไม้ที่มีสีม่วงและม่วงอมน้ำเงิน สีสันแปลกตาเหล่านี้มาจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำลายสารที่ทำให้เกิดมะเร็ง ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่างๆ ชะลอความเสื่อมถอย ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ ช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางามอีกด้วย โดยจะพบมากใน มะเขือสีม่วง ลูกแบล็คเบอรี่ บลูเบอรี่ ดอกอัญชัน กะหล่ำปลีที่มีสีม่วง มันเทศสีม่วง และหอมแดง 5.ผักผลไม้ที่มีสีขาวจนถึงน้ำตาลอ่อน ผักและผลไม้ที่มีสีขาวจนถึงน้ำตาลอ่อนจะมีสารอาหารที่เรียกว่า แซนโทน (Xanthone) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆที่ประกอบด้วย กรดไซแนปติก (Synaptic acid) และ อัลลิซิน (Allicin) โดยสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตและโรคหลอดเลือดหัวใจได้ ผักและผลไม้ที่มีสีขาวจนถึงน้ำตาลอ่อนได้แก่ ขิง ข่า  กระเทียม  กุยช่าย  ขึ้นช่าย เซเลอรี่  เห็ด ลูกเดือย หัวไชเท้า ถั่วเหลือง ดอกกะหล่ำ ถั่วงอก และงาขาว ส่วนผลไม้ก็ได้แก่ กล้วย สาลี่ พุทรา ลางสาด ลองกอง ลิ้นจี่ ละมุด แห้ว เป็นต้น นี่เป็นเพียงประโยชน์บางส่วนเท่านั้นที่ได้รับจากการทานผักและผลไม้ เพราะผักและผลไม้ ยังมีวิตามินและสารอาหารต่างๆ อีกมากมาย โดยทานเฉลี่ยและกระจายไปในทุกๆกลุ่มทุกๆสี สลับหมุนเวียนกันไป นอกจากประโยชน์จากสารอาหารแล้ว ผักและผลไม้ยังเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนักได้อีกด้วย แต่ก่อนทานอย่าลืมการล้างทำความสะอาดผักและผลไม้ เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างต่างๆที่แฝงมากับผักและผลไม้กันด้วยนะคะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.ryt9.com/s/prg/3232494

D’LeVer Collagen Type II Plus ทางเลือกใหม่ ! สำหรับคนปวดเข่า

“ข้อเข่า” ทำหน้าที่ในการรับน้ำหนักตัวเกือบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืน นั่ง หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ล้วนส่งผลกระทบต่อเข่าได้ เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยองเป็นประจำ การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา หรือการลื่นหกล้ม ทั้งหมดนี้ต่างส่งผลกระทบทำให้เกิดปัญหาข้อเข่าได้ทุกเพศทุกวัย และหากปล่อยไว้ไม่รีบทำการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะข้อเข่าเสื่อมได้ ข้อเข่า คือ ข้อต่อที่ประกอบขึ้นจากกระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้ง และลูกสะบ้า นอกจากนั้นแล้วยังประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน เส้นเอ็น เส้นประสาท และหลอดเลือด ซึ่งส่วนประกอบต่างๆ เหล่านี้สามารถเกิดการบาดเจ็บ ติดเชื้อ และเกิดสภาวะอื่นๆ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดเข่าขึ้นได้ โดยอาการปวดเข่านั้นอาจเป็นการเกิดแบบเฉียบพลัน หรือเป็นแบบเรื้อรังที่ค่อยๆ พัฒนาความรุนแรงของโรคไปตามกาลเวลา หากเกิดอาการปวดเข่าแล้ว จะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัว รู้สึกรำคาญ เดินไม่สะดวก หรือรู้สึกว่าไม่สามารถลงน้ำหนักไปบนขาข้างที่มีอาการปวดได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านอื่นๆ และคุณภาพชีวิต อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดเข่านั้นมีมากมายหลากหลายข้อแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ อายุ น้ำหนักตัว ระดับความหนักของกิจกรรมที่ทำ หรือแม้กระทั่งปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ ก็ส่งผลให้เกิดอาการปวดเข่าด้วยเช่นกัน สาเหตุของอาการปวดเข่าที่พบได้มาก มีดังนี้ 1. ข้อเข่าเสื่อม  เป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเข่าที่พบได้มากที่สุด ซึ่งแม้ว่าโรคนี้จะไม่ได้เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็ถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ร่างกายจากอาการเจ็บปวดดังกล่าวได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้ป่วยเดินได้ไม่เหมือนเดิม เช่น เดินตัวเอียง เดินแล้วต้องเอนตัวไปมา หรือต้องมีคนคอยพยุงเวลาเดิน เป็นต้น ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวผู้ป่วยเอง และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเช่นกัน อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหรืออาการผิดปกติของส่วนอื่นๆ ของร่างกายตามมาได้ เช่น อาการปวดหลัง เป็นต้น อาการของข้อเข่าเสื่อมในระยะแรกและปานกลางนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อมีแรงกดบีบลงบนผิวข้อเข่ามากๆ เช่น ตอนลุกยืนจากท่านั่ง การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยองๆ หรือเดินขึ้นลงบันได และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เข่ามีเสียงดังกรอบแกรบขณะงอหรือเหยียดเข่า เป็นต้น หากเป็นในข้อเข่าเสื่อมระยะหลังแล้ว อาการปวดเข่ามักเกิดทุกครั้งเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อเข่า มีการยืน การเดิน และอาจพบอาการผิดรูปของข้อเข่า มีเข่าโก่ง ข้อเข่าติด งอเหยียดได้ไม่สุดร่วมด้วย ข้อเข่าเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมตามธรรมชาตินั้น อาจเกิดจากการใช้งานข้อเข่ามากเกินไปต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ จากการทำกิจกรรม ซ้ำๆ จนทำให้เกิดการสึกหรอของผิวข้อเข่า พบมากในผู้ที่เล่นกีฬาบางชนิดบ่อยๆ เช่น การออกกำลังกายประเภทที่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่ามาก หรือผู้ที่ทำงานแบบเดิมซ้ำๆ เช่น การยกของหนักเป็นประจำ เป็นต้น ข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย นอกจากอาการข้อเข่าเสื่อมจะเกิดตามธรรมชาติได้แล้ว ยังสามารถเกิดก่อนวัยได้อีกด้วย ซึ่งการเกิดข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยนั้น เป็นผลพวงมาจากการเกิดอุบัติเหตุที่ข้อเข่าตั้งแต่อายุยังน้อย การเล่นกีฬาที่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่ามากๆ หรือแม้กระทั่งการนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมบ่อยๆ ก็ถือว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้ด้วยเช่นกัน ข้อเข่าเสื่อมอาจเป็นผลของโรคบางชนิด รวมถึงผลจากความผิดปกติอื่นๆ ในบริเวณข้อเข่า (ภาวะข้อเข่าเสื่อมทุติยภูมิ) เช่น  ภาวะกระดูกข้อเข่าตายจากการขาดเลือด (Osteonecrosis of knee)  ภาวะกล้ามเนื้อต้นขาลีบ (Quadriceps muscle atrophy)  โรคกระดูกพรุนอักเสบ (Osteochondritis dissecans: OCD) เป็นต้น 2. Patellofemoral Pain Syndrome หรือ Runner’s Knee เกิดจากกระดูกอ่อนที่รองลูกสะบ้าอยู่นั้นมีการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพไป ซื่งมีสาเหตุจากการที่มีแรงกดที่มากเกินไปต่อลูกสะบ้า หรืออาการกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและต้นขาไม่สมดุล ทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนดึงตัวลูกสะบ้าออกไปจากตำแหน่งที่เคยอยู่ จึงก่อให้เกิดอาการปวดขึ้น โดยเฉพาะตอนเดินลงบนทางลาดชัน และเดินลงบันได 3. โรคข้ออักเสบบางชนิด เช่น รูมาตอยด์ เกาต์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากอาการปวดแล้ว ยังก่อให้เกิดอาการอักเสบของข้อ คือ อาการบวม แดง ร้อน และเกิดเข่าติดได้เช่นกัน 4. หมอนรองข้อเข่าและเส้นเอ็น ภายในหรือรอบๆ ข้อเข่าได้รับบาดเจ็บ เช่น หมอนรองข้อเข่าฉีกขาด เอ็นไขว้หน้าขาด เอ็นเข่าด้านในได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น คอลลาเจนไทพ์ทู  ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ กระดูก และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเป็นหลัก โดยเปรียบเสมือนกาวที่ช่วยประสานโครงสร้างในส่วนดังกล่าวเข้าด้วยกัน ช่วยให้กระบวนการทำงานต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างปกติ มีงานวิจัยศึกษาในระยะแรก พบว่าสามารถลดอาการอักเสบได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้อรูมาตอยด์  นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2013 James P Lugo และคณะ มีการศึกษาถึงประสิทธิผลของสารคอลลาเจนไทพ์ทู ในอาสาสมัครสุขภาพดีที่ออกกำลังกายเป็นประจำแต่มีอาการเจ็บที่ข้อเข่าเฉพาะเวลาออกกำลังกายอย่างหนักเท่านั้น โดยศึกษาแบบสุ่มเลือกโดยเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มที่รับประทานคอลลาเจนไทพ์ทู  ขนาด 40 มิลลิกรัมต่อวัน และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก หรือ placebo และติดตามเป็นระยะเวลา 120 วัน พบว่ากลุ่มที่รับประทานคอลลาเจนไทพ์ทู มีค่าเฉลี่ยองศาของการยืดเข่าได้ดีขึ้น และยังสามารถออกกำลังกายโดยวิ่งบนลู่วิ่งปรับความชันได้เป็นระยะเวลานานกว่าก่อนที่มีอาการเจ็บหัวเข่าถึง 2 เท่า นอกจากนี้กลุ่มที่รับประทานสารคอลลาเจนไทพ์ทู ยังพบว่ามีอาสาสมัครจำนวน 5 คน หรือ 18.5% ไม่มีอาการปวดเลยในขณะที่ทดสอบ และไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ จากงานวิจัยนี้ จึงสรุปได้ว่าสารคอลลาเจนไทพ์ทู ขนาด 40 มิลลิกรัมต่อวัน มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดี สามารถลดอาการอักเสบ ลดอาการปวดของข้อเข่า เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเดินได้ดีขึ้น และยังเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้ นอกจากนี้คอลลาเจนไทพ์ทู ยังได้ผลดีในผู้ที่ออกกำลังกาย โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการยืดองศาของเข่าได้ดีขึ้น และเพิ่มระยะเวลาการออกกำลังกายในการวิ่งบนลู่วิ่งที่ปรับความชันได้นานกว่าก่อนที่มีอาการเจ็บถึง 2 เท่า โดยที่มีความปลอดภัยสูงและไม่มีผลข้างเคียง ข้อเข่าเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักและเกิดการเสื่อมได้บ่อย แม้ว่าการดูแลรักษาข้อเข่าจะไม่ยากเลย แต่ก็ยังถูกละเลยจากคนเป็นส่วนใหญ่ อาจทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะมองข้าม แนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมมี 2 วิธีหลักคือ การรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด และการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมนั้นควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระทำต่อข้อเข่ามาก ๆ ควรใช้การออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อด้านหน้าต้นขาและรอบเข่า ปัจจุบันการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมดีขึ้นและมีหลายวิธีการ แต่ก็พบว่าผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังคงมีอาการของโรค และเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการรักษา ดังนั้น ในผู้ที่รักการออกกำลังกายและผู้สูงวัยที่เริ่มมีอาการปวดข้อเข่าจึงควรดูแลเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับสุขภาพข้อเข่าของเราตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่เราจะได้มีย่างก้าวที่มั่นคง และเดินได้ดีอย่างมีสุขภาพไปได้อีกยาวนาน

ท้องเสีย…กินยาอะไรได้บ้างนะ ?

ท้องเสีย

ท้องเสียเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประเทศไทย ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากหลายสาเหตุและมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน การเรียน หรือการประกอบกิจวัตรประจำวันได้ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในผู้ป่วยบางรายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และทำงานของภูมคุ้มกันบกพร่อง ดังนั้นการรักษาอาการท้องเสียในช่วงเริ่มแรกโดยการใช้สารน้ำทดแทนทางปาก หรือที่เรียกว่า ORS และยาที่ใช้รักษาอาการท้องเสียอื่นๆ เท่าที่จำเป็น ก็สามารถทำได้เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ 1. สารน้ำทดแทนทางปาก (ORS) การให้สารน้ำทดแทนทางปาก หรือที่เราเรียกกันบ่อยๆว่า ORS มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันหรือรักษาภาวะขาดน้ำที่เกิดจากท้องเสีย ซึ่งผู้ป่วยโรคท้องเสียทุกรายจะเกิดการสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลต์ไม่ว่าจะมีอาการแสดงของการสูญเสียน้ำหรือไม่ ดังนั้น ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับสารน้ำทดแทน ซึ่งรูปแบบของสารน้ำทดแทนที่ใช้ขึ้นกับความรุนแรง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากควรส่งต่อไปสถานพยาบาลเพื่อให้สารน้ำทดแทนในรูปฉีดเข้าหลอดเลือดดา ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการในระดับน้อยถึงปานกลาง ควรได้รับสารน้ำทดแทนทางปาก ซึ่งรูปแบบที่แนะนำและนิยมใช้ คือ สารละลายที่มีปริมาณน้ำตาลและอิเล็กโทรไลต์ตามที่องค์การอนามัยโลกกาหนด ซึ่งจะเรียกว่า oral rehydration solution (ORS) การให้ ORS  ในผู้ป่วยโรคท้องเสียถือว่ามีความสาคัญอย่าง จากการศึกษาทางคลินิก พบว่า การให้ ORS ในเด็กที่เกิดโรคท้องเสียช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม ในการให้ ORS ต้องให้อย่างถูกต้องและเพียงพอ การรับประทาน ORS จะแนะนาให้ค่อยๆ จิบ ไม่ควรรับประทานรวดเดียวจนหมด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก เนื่องจาก ผู้ป่วยโรคท้องเสียจะมีสภาวะดูดซึมน้ำและอาหารได้ลดลง ร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลและอิเล็กโทรไลต์จากโพรงลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดไม่ทัน ทำให้มีความเข้มข้นของน้ำตาลและอิเล็กโทรไลต์ในโพรงลำไส้สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการดูดน้ำเข้ามาที่โพรงลำไส้มากขึ้น และทำให้อาการท้องเสียรุนแรงกว่าเดิมได้ 2. ยาบรรเทาอาการท้องเสีย (Antidiarrheal drugs)  ยาดูดซับสารพิษ (adsorbent agents) ยาในกลุ่มนี้มีหลายชนิด ได้แก่ diosmectite, kaolin-pectin และ charcoal ออกฤทธิ์โดยการดูดซับสารพิษที่เกิดจากเชื้อก่อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โดยยาที่มีการศึกษาทางคลินิกยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากที่สุด คือ diosmectite Diosmectite เป็นยาที่เชื่อว่ามีกลไกการออกฤทธิ์ได้หลายกลไก ได้แก่ ดูดซับสารพิษ เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพในการดูดซับที่ดีกว่ายาชนิดอื่น ยาสามารถไปจับเยื่อบุลำไส้ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อต่างๆ เข้ามาเกาะและทำลายเยื่อบุลาไส้ และยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบอีกด้วย ด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ diosmectite พบว่าสามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ จากหลักฐานทางวิชาการ พบว่า ช่วยลดปริมาณอุจจาระ และระยะเวลาของโรคท้องเสียได้ สถิติ  อีกทั้งยานี้ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และมีอาการข้างเคียงไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานยา ยายับยั้งการเคลื่อนตัวของลำไส้ (Antimotility agents) ยาในกลุ่มนี้ที่เป็นที่รู้จักกันดีในร้านยา คือ loperamide ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนตัวของลำไส้โดยตรง ทำให้อาการท้องเสียลดลงได้ ยาสามารถออกฤทธิ์ได้เร็ว เริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงหลังรับประทานยา และออกฤทธิ์ได้เต็มที่ใน 16-24 ชั่วโมงหลังรับประทานยา โดยยากลุ่มนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็ก เนื่องจากพบผลข้างเคียงที่รุนแรง ยายับยั้งการหลั่งสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ (Antisecretory drug) ได้แก่ยา racecadotril เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์เข้าสู่โพรงลำไส้ได้ จึงช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ 3. โพรไบโอติกส์ (Probiotics) จุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเมื่อบริโภคในปริมาณมากพอ จะส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคกลไกของโพรไบโอติกส์ในการรักษาโรคท้องร่วงเฉียบพลันยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าโพรไบโอติกส์ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในลำไส้ เพิ่มความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้ แย่งอาหารกับเชื้อก่อโรค และทำให้สภาพในโพรงลำไส้ไม่เหมาะกับการเติบโตของเชื้อก่อโรค มีผลทำให้ยับยั้งการเติบโตของเชื้อก่อโรค 4. ยาปฏิชีวนะ การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็นเป็นปัญหาที่สำคัญและพบได้บ่อยทั้งในร้านยาและสถานพยาบาล การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็นก่อให้เกิดผลเสียหลายประการ ทั้งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา อาการไม่พึงประสงค์จากยา ดังนั้นการพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะควรพิจารณาถึงประโยชน์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น กรณีอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ จะไม่แนะนาให้ใช้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากเชื้อก่อโรคหลักในชุมชนมักจะเกิดจากเชื้อไวรัสเป็นหลัก หรือแม้แต่ท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหากมีระดับความรุนแรงเพียงเล็กน้อยหรือปานกลาง ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันปกติจะสามารถหายได้เอง 5.ธาตุสังกะสี (Zinc) มีความสำคัญต่อระบบทางเดินอาหารในการซ่อมแซมเยื่อบุลำไส้ และการสร้างเอนไซม์บริเวณ brush border รวมไปถึงการสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อก่อโรคในลำไส้ ในภาวะท้องร่วงจะมีการสูญเสียธาตุสังกะสีไปทางอุจจาระมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะขาดธาตุสังกะสีได้ การขาดธาตุสังกะสีทำให้เกิดความบกพร่องในการดูดซึมน้ำและเกลือแร่ มีการพร่องเอนไซม์ที่เยื่อบุลำไส้เล็ก และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง 6. ยาบรรเทาอาการที่เกิดร่วมกับท้องเสีย ได้แก่ ยาลดไข้ ยาแก้ปวดเกร็งช่องท้อง เช่น hyoscine และยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ที่นิยมใช้ เช่น domperidone และ ondansetron อย่างไรก็ตาม domperidone และ ondansetron ก็มีรายงานการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเช่นกัน ดังนั้นจึงควรใช้ในขนาดยาที่แนะนำ และระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการกินอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด เปรี้ยวจัด เพื่อลดอาการเสาะท้อง ลดการกินอาหารหมักดอง เพราะเสี่ยงต่อการพบเชื้อแบคทีเรีย ที่เกิดจากกระบวนการหมักดองที่ไม่มีประสิทธิภาพ เลือกกินอาหารจากร้านอาหาร หรือวัตถุดิบในการทำอาหาร ที่สะอาด น่าเชื่อถือ และปรุงให้สุก 100% ก่อนกินอาหารทุกครั้ง ไม่กินอาหารที่ปรุงสุกข้ามวัน และเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ไม่เย็นมากพอ เพราะอาจก่อให้เกิดเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ท้องเสียได้ ไม่กินอาหารมากจนเกินไป เช่น การกินบุฟเฟ่ต์ หรือการอดอาหารมื้อหนึ่ง แล้วกินอีกมื้อหนึ่งมากขึ้นทดแทน เพราะการกินอาหารครั้งเดียวในปริมาณมาก ๆ จะทำให้ผนังหน้าท้องขยายขนาดขึ้น และส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ควรเปลี่ยนมากินอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยขึ้นจะดีกว่า ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้งก่อนกลืน ไม่รีบกินรีบกลืนจนเกินไป เพราะอาจทำให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ยาก เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร จนทำให้ท้องอืด และอาหารไม่ย่อยได้ โรคท้องเสียเป็นโรคที่สำคัญและพบได้บ่อย เกิดได้จากหลายสาเหตุ และมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย ควรจะประเมินอาการและระดับความรุนแรงของโรคท้องเสียของตนเอง หากมีอาการไม่รุนแรงสามารถให้สารน้ำทดแทน ORS และยาบรรเทาอาการท้องเสียอย่างเหมาะสม เพื่อลดความรุนแรงของอาการท้องเสียได้ แต่หากมีอาการรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาต่อไป ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://he01.tci-thaijo.org/index.php/IJPS/article/view/125918

คุณแม่มือใหม่ ท่อน้ำนมอุดตัน ทำอย่างไรดี ?

เมื่อมีบุตรแล้วแม่ๆหลายคนอาจจะประสบปัญหา..ท่อน้ำนมอุดตัน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอด ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่น้ำนมบริเวณที่เกิดการอุดตันนั้นข้นขึ้นมาก จนอุดตันคั่งค้างอยู่ในท่อน้ำนมท่อใดท่อหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้น้ำนมไม่ไหล หรือ ไหลช้า จนอาจก่อให้เกิดอาการน้ำนมคั่งค้างอยู่ภายในเต้านม ส่งผลให้เต้านมบางบริเวณมีลักษณะแข็ง เป็นแผ่นหนา หรือเป็นก้อนอยู่ภายในเต้านม โดยไม่ได้เป็นทั่วทั้งเต้านม ผิวหนังที่บริเวณเหนือก้อน กดเจ็บ และอาจจะบวมแดงได้แต่จะไม่มีไข้ควบคู่ ลักษณะหัวนมและลานหัวนมผิดรูป บางครั้งอาจมีเส้นเลือดที่ผิวหนังของเต้านมปูด และอาจพบจุดสีขาวที่บริเวณหัวนม (White dot)  จะรู้ได้อย่างไรว่าท่อน้ำนมอุดตัน ? เมื่อคลำดูจะพบว่าว่ามีก้อนแข็งเป็นไตบริเวณเต้านม เมื่อกดลงไปจะรู้สึกเจ็บและอาจมีอาการบวมแดง บางครั้งยังอาจก่อให้เกิดจุดขาวที่หัวนม (white dot) ทั้งยังทำให้คุณแม่ปวดระบมเต้านมอีกด้วย นอกจากนี้คุณแม่หลายๆท่านจะพบว่า น้ำนมไหลน้อยลงเนื่องจากก้อนอุดตันไปขวางทางเดินของน้ำนม  วิธีรับมือกับท่อน้ำนมอุดตัน 1.ให้นมลูกบ่อยๆอย่างน้อย 8-12 ครั้ง / วัน และดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที และคุณแม่มือใหม่ควรให้ลูกกินนมแม่บ่อยตามที่ลูกต้องการ หิวเมื่อไรก็ให้ดูด เพราะนมแม่นั้นย่อยง่าย ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด คุณแม่ควรให้ลูกดูดนมบ่อยๆ อาจจะประมาณทุก 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้น้ำนมมา หลังจากนี้ก็ให้ลูกดูดตามต้องการ โดยไม่ต้องตั้งเวลา แต่ถ้ารู้สึกคัดเต้านม ต้องให้ลูกดูดนมออกทันที การให้ลูกกินนมแม่บ่อยจะช่วยระบายน้ำนมออกจากเต้า และให้เต้านมสร้างน้ำนมใหม่เรื่อยๆ ไม่เช่นนั้น คุณแม่จะเจ็บเพราะคัดเต้านม และทำให้เต้านมสร้างน้ำนมได้น้อยลงด้วย  2.ปั๊มนมให้สม่ำเสมอ คุณแม่ควรปั๊มนมให้ได้ประมาณ 8 – 10 ครั้งต่อวัน เป็นจำนวนเท่ากับจำนวนครั้งที่ลูกดูดนมในแต่ละวัน 3.จัดท่าดูดนมลูกให้ถูกวิธี โดยท่าดูดนมลูกที่ถูกต้องมี ดังนี้ ปากลูกต้องเปิดกว้าง เพื่ออมหัวนมให้ลึกที่สุดจนมิดลานนม ถ้าลานนมกว้างก็ให้อมให้มากที่สุด คางแนบเต้า ปลายจมูกชิดหรือแตะเต้านม และริมฝีปากบน-ล่างบานออก ลูกดูดแรงโดยใช้ลิ้นรีดน้ำนมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ได้ยินเสียงกลืนนมเป็นจังหวะ ถ้าลูกไม่ค่อยดูดหรือดูดช้าลง ให้บีบเต้านมช่วยเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมเข้าปากลูก จัดท่าให้คางลูกอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็นก้อนเน้นให้ดูดตรงเต้าที่มีก้อนแข็งก่อน 4.พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด หากคุณแม่มีภาวระเครียดจะทำให้การหลั่งฮอร์โมน Oxytocin ที่ทำให้น้ำนมไหลลดลง 5.นวดกระตุ้น เพื่อให้น้ำนมไหลลดอาการคัดเต้า แก้ปัญหาปวดคัดตึง 6.ประคบเต้านมด้วยผ้าอุ่น 3-5 นาที ก่อนให้ลูกดูดนม หรือนวดคลึงเต้านมขณะอาบน้ำอุ่นด้วยฝักบัว 7.ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Lecithin (เลซิติน) จะไปช่วยลดความหนืดของน้ำนมทำให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้น ป้องกันในเรื่องของท่อน้ำนมอุดตัน 7 สุดยอดอาหารกระตุ้นการสร้างน้ำนมแม่และเมนูแนะนำ 1.หัวปลี : มีสาร lactagogum จะไปกระตุ้นการสร้างฮอร์โมน oxcytocin and prolactin ซึ่งเป็นอฮร์โมนที่สำคัญในการสร้างน้ำนมแม่ และฮอร์โมน 2 ตัวนี้จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น เมื่อได้รับการดูดจากลูกน้อย เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลีกุ้งสด ทอดมันหัวปลี 2.ขิง : สรรพคุณทางสมุนไพรของขิง เป็นยาร้อน เพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้น้ำนมไหลดี เชื่อว่าเมื่อคุณแม่กินเข้าไป สรรพคุณที่ดีของขิงจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูก เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ไก่ผัดขิง น้ำขิง ยําขิง ยําปลาทูใส่ขิง มันหรือถั่วเขียวต้มน้ำขิง ไข่หวานน้ำขิงต้มอุ่นๆ โจ๊กใส่ขิง 3.ใบกระเพรา : มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ใยอาหารสูง มีรสร้อน บำรุงธาตุไฟ ขับลม เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หวัด ถ้าลูกได้รับจากนมแม่ ก็จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ด้วย เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ผัดกระเพรา แกงป่า แกงเลียงใบกระเพรา 4.กุยช่าย : มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี ช่วยขับน้ำนม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมเเมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ดอกกุ้ยช่ายผัดตับ ขนมกุ้ยช่าย ใบสดๆเป็นเครื่องเคียงทานคู่กับผัดไทย ผัดดอกกุยช่ายกับเนื้อสัตว์ หรือกินใบสดแกล้มกับอาหาร 5.ใบแมงลัก : มีรสร้อน มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี และวิตามินซี ช่วยบำรุงเลือด เสริมสร้างกระดูกและฟันเมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ใส่แกงเลียง แกงป่า กินสดแกล้มกับขนมจีน 6.มะละกอ : ผลไม้ที่หาทานได้ง่าย มีวิตามิน เอ บี ซี และใยอาหาร ซึ่งช่วยบำรุงสายตา เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ระบบขับถ่ายดี เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ทานผลสุก แกงส้มมะละกอ มะละกอผัดไข่ 7.ฟักทอง : ผักเนื้อเหลือง อุดมไปด้วยวิตมิน เอ บี ซี ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน ทำให้ผิวพรรณสดใสเมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ นึ่ง แกงบวด ผัดใส่ไข่ ใส่ไข่เจียว แกงเลียง อาการท่อน้ำนมอุดตัน หากปล่อยทิ้งไว้นาน และไม่ได้รับการรักษา สามารถพัฒนาไปเป็นเต้านมอักเสบได้ แต่ถ้าคุณแม่ดูแลตัวเองด้วยการทานอาหารที่ดี เสริมด้วยการทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Lecithin (เลซิติน) พร้อมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด ก็จะสามารถช่วยลดอาการอุดตันท่อน้ำนมในเบื้องต้นได้ และถ้าคุณแม่ท่านใดมีความกังวลในเรื่องท่อน้ำนมอุดตัน สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจวินิจฉัย และให้คำแนะนำเพิ่มเติม