IT band syndrome โรคยอดฮิตสำหรับนักวิ่ง

หนึ่งในการออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายและหลายคนติดอกติดใจจนเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวัน และเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคนน่าจะเป็นการวิ่ง จนมีคำพูดที่ว่า “ถ้าอยากพบชีวิตใหม่ก็จงวิ่งมาราธอน” การวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตใครบางคน ระยะทางไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ในเมื่อเรายังมีก้าวแรกของการวิ่งและยังคงก้าวต่อไปอย่างสม่ำเสมอ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้เราได้พบกับสิ่งดีๆ ที่มาพร้อมกับชีวิตใหม่ และได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เราสร้างได้ด้วยตัวเอง แต่ทราบหรือไม่ว่า หากเราวิ่งไม่ถูกวิธีหรือไม่เตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงเพียงพอแล้วไปวิ่งเลย การวิ่งนี่แหละจะสร้างอาการปวดกล้ามเนื้อ และการบาดเจ็บได้มากเลยทีเดียว วันนี้เราจะพามารู้จักกับอาการปวดที่เป็นโรคยอดฮิตของเหล่านักวิ่ง นั่นก็คือ IT Band syndrome โรค IT band syndrome คือโรคเอ็นต้นขาด้านหน้าอักเสบ จัดว่าเป็นโรคยอดฮิตของนักวิ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งจุดเด่นของโรคนี้ก็คือ – จะมีอาการปวดที่เข่าด้านนอก (Lateral Knee Pain)– วิ่งไปได้สักระยะหนึ่งจึงจะเริ่มปวด แต่ถ้ายังคงฝืนวิ่งต่อไปอาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นจนเราวิ่งต่อไม่ไหว– มักจะเริ่มปวดเข่าด้านนอกด้วยระยะทางเท่าเดิม เช่น เมื่อวิ่งไปได้ 500 เมตรจะเริ่มมีอาการ พอวันพรุ่งนี้มาวิ่งใหม่ก็จะมีอาการปวดที่ระยะ 500 เมตรอยู่เช่นนั้น ถ้าวิ่งไม่ถึง 500 เมตรอาการปวดก็จะยังไม่เกิดขึ้น สาเหตุของโรค IT band syndrome สาเหตุของอาการปวดจากโรคนี้ก็คือ ตัวเส้นเอ็นด้านข้างหัวเข่าที่มีชื่อว่า iliotibial band ไปเสียดสีกับปุ่มกระดูกข้างหัวเข่าที่นูนออกมาที่มีชื่อว่า lateral epicondyle ของกระดูกต้นขาจากการวิ่ง แล้วเมื่อเราก้าวขาออกวิ่งไปเรื่อยๆ ตัวเส้นเอ็นนั้นก็เสียดสีกับปุ่มกระดูกซํ้าๆกันจนเกิดการอักเสบแล้วปวดในที่สุด เพราะเหตุนี้จึงทำให้เรามักจะปวดเข่าด้านนอกในระทางเท่าเดิมตลอดนั่นเอง สาเหตุของเอ็นข้างเข่าอักเสบ 1.ใช้งานเข่าซ้ำๆกันมากเกินไป มักเกิดขณะเพิ่มระยะหรือความเร็วของการฝึกซ้อมกีฬาเช่น วิ่งหรือจักรยาน 2.โครงสร้างร่างกายผิดปกติเล็กน้อย ทำให้ขณะใช้งานเข่า เอ็นข้างเข่าจะตึงและเสียดสีกระดูกหัวเข่าได้มากกว่าปกติ 3.ท่าทาง (form) การวิ่งผิดปกติเล็กน้อย ทำให้เอ็นข้างเข่าจะตึงและเสียดสีกระดูกหัวเข่าได้มากกว่าปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เอ็นข้างเข่าอักเสบ 1.เอ็นข้างเข่าตึงเกินไป เนื่องจากการใช้งานหนัก และขาดการยืดเหยียดอย่างถูกต้องและเพียงพอ 2.กล้ามเนื้อกางสะโพก (Gluteus medius) อ่อนแรง 3.เล่นกีฬาที่ต้องใช้เข่างอ-เหยียดตลอดเวลา เช่น วิ่งระยะไกล วิ่งมาราธอน ปั่นจักรยานทางไกล เป็นต้น 4.ทำงานที่ต้องนั่งงอเข่านานๆ 5.ต้องวิ่งขึ้นหรือลงที่ลาดชันมากๆ 6.ขาไม่เท่ากัน 7.มีภาวะเท้าแบน ทำให้หน้าแข้งหมุนเข้าด้านใน การรักษา IT band syndrome สำหรับนักวิ่ง ช่วงที่มีอาการอักเสบเจ็บเอ็นข้างเข่า 1.พัก ประคบเย็น ไม่ควรนวดหรือประคบอุ่น 2.ยืดเหยียด IT band เบาๆอย่างถูกวิธี 3.งดกิจกรรมที่ต้อง งอ-เหยียด เข่าซ้ำๆ เปลี่ยนมาเป็นการออกกำลังกายวิธีอื่นเพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบหัวใจ ถ้าเป็นว่ายน้ำได้จะดีมาก (เลี่ยงว่ายท่ากบ) เมื่ออาการบวมลดลง 1.ฝึกการยืดเหยียด IT band อย่างถูกวิธี 2.ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ Gluteus medius ถ้าอาการปวดและบวมหายแล้วสามารถกลับไปวิ่งได้ โดยเมื่อเริ่มกลับไปวิ่งจะต้องเริ่มจากลดความเร็วและระยะทางก่อน อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของที่เคยฝึก วิ่งเบาๆ ระยะสั้นๆ พื้นเรียบๆ เลี่ยงการขึ้นลงทางชัน เมื่อทำได้โดยไม่เจ็บแล้วจึงค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกจนกลับมาวิ่งได้เหมือนเดิมและต้องทำการฝึกการยืดเหยียด IT band ก่อนและหลังวิ่งนอกจากนี้ควรเสริมการฝึกกล้ามเนื้อสะโพกเพิ่มขึ้นด้วย การป้องกันการเกิด IT band syndrome 1.สิ่งสำคัญสำหรับการป้องกันการเกิด IT band syndrome ก็คือการยืดเอ็นกล้ามเนื้อก่อนเริ่มวิ่ง ด้วยท่าต่างๆ ดังนี้ 2.การปรับพฤติกรรมการวิ่ง หากทราบว่าตัวเองชอบเผลอวิ่งไขว้ขาไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดคือ การวิ่งคร่อมเส้นจราจร วิธีนี้จะเหมือนเป็นการช่วยเตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าให้วิ่งขาห่างอย่างพอเหมาะ อาการ IT band syndrome เป็นภาวะที่พบในนักกีฬาที่ใช้เข่าอยู่ตลอดเช่นนักวิ่ง นักปั่นจักรยาน ทำให้มีอาการปวดเข่าด้านข้าง(นอก) ทำให้รบกวนการฝึกหรือการแข่งขันได้ การรักษาส่วนใหญ่เป็นการพักร่างกายจนหายจากอาการปวด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการยืดเหยียดอย่างถูกวิธีทั้งก่อนวิ่งและหลังวิ่ง เพียงง่ายๆเท่านั้นก็สามารถช่วยป้องกันการเกิด IT band syndrome ได้เราก็สามารถวิ่งได้อย่างมีความสุขโดยที่ไม่มีอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้ออีกต่อไปเพราะการฝืนวิ่งทั้งๆ ที่ร่างกายบาดเจ็บไม่ใช่สิ่งที่ดี นอกจากร่างกายไม่ได้พักฟื้น ซ่อมแซมให้กลับมาดั่งเดิมแล้ว ยังอาจเพิ่มอาการให้แย่ลง อีกทั้งยังส่งผลให้ประสิทธิภาพที่ได้จากการวิ่งลดลงกว่าการวิ่งโดยไร้การบาดเจ็บ ถ้าหากคุณยังทู่ซี้วิ่ง ยิ่งวิ่ง ยิ่งเจ็บ และสุดท้ายจากการวิ่งเพื่อสุขภาพก็จะกลายเป็นวิ่งทำลายสุขภาพได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.sportsinjuryclinic.net/sport-injuries/hip-groin-painhttps://www.siphhospital.com/th/news/article/share/iliotibial-band-syndromehttps://kdmshospital.com/article/runner-injury/
Dehec-Z (ดีเฮก-ซี) แร่ธาตุจิ๋ว ประโยชน์แจ๋ว

‘Zinc’ หรือ ‘สังกะสี’ เป็นอีกหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ หรือแม้แต่สตรีมีครรภ์และผู้ที่อยู่ในช่วงกำลังให้นมบุตร ก็ล้วนแต่ต้องการแร่ธาตุสังกะสี รวมไปถึงคนในช่วงวัยทำงานที่อาจไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลเรื่องอาหารการกิน การใช้ อาหารเสริม Zinc จึงเป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยเพิ่มเติมแร่ธาตุที่จำเป็นในร่างกายในชั่วโมงเร่งด่วนและยังเป็นแร่ธาตุจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตหรือเก็บไว้ได้ การรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมจึงเป็นส่วนช่วยเพิ่มแร่ธาตุชนิดนี้ในร่างกาย รู้หรือไม่ว่า ร่างกายขาด Zinc ได้ ? เพราะ Zinc เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ถ้าร่างกายขาดซิงค์เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ กับร่างกาย เช่น เบื่ออาหาร การรับรสและกลิ่นลดลง แผนหายช้า ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นหวัดง่าย ผมร่วง ท้องร่วง การเจริญเติบโตลดลง ถ้าเป็นเด็กจะมีภาวะเตี้ย แคระแกรน ใครบ้างที่ควรรับประทาน Dehec – Z ? 1.ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย Zinc (ซิงค์) มีคุณสมบัติในการช่วยต้านการเพิ่มขึ้นของปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกาย (Antiviral) หยุดการเจริญของเชื้อ รวมทั้งการเกาะจับของเชื้อในร่างกาย และยังมีฤทธิ์ต้านอักเสบ จึงช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ เช่นโรคปอดอักเสบ เป็นต้น 2.ช่วยลดความรุนแรงของโรคหวัดได้ เมื่อเป็นหวัด Zinc (ซิงค์) จะลดความรุนแรงของอาการ ลดระยะเวลาการเป็นหวัด และหายจากโรคหวัดเร็วขึ้น และ หากร่างกายได้รับ Zinc (ซิงค์) ร่วมกับวิตามินซีเป็นประจำทุกวันยังช่วยป้องกันหวัดได้ 3.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย Zinc (ซิงค์) ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสีย ลดอาการอ่อนเพลียจากอาการท้องเสีย และลดความถี่ในการถ่ายท้องเสีย นอกจากนี้ยังช่วยให้หายท้องเสียเร็วขึ้น มีงานวิจัยพบว่า Zinc (ซิงค์) ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสียในเด็กได้ 4.ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต Zinc (ซิงค์) เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างยิ่ง เพราะร่างกายเราใช้แร่ธาตุชนิดนี้ในการสังเคราะห์สารต่างๆ ภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นดีเอ็นเอ (DNA) อาร์เอ็นเอ (RNA) หรือโปรตีน ซึ่งสารโปรตีนเหล่านี้มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ การได้รับ Zinc อย่างเพียงพอจึงอาจช่วยให้ทารกในครรภ์และเด็กสามารถเติบโตตามช่วงวัยได้อย่างเหมาะสม นอกจากการทานอาหารเสริม และการรับประทานอาหารให้หลากหลายเป็นประจำอาจช่วยเพิ่ม Zinc ให้กับร่างกายอย่างเพียงพอ แต่การได้รับ Zinc เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงโดยร่วมได้ ดังนั้นควรออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ **ข้อมูลเพิ่มเติม โรค G6PD โรค G6PD หรือโรคพร่องเอนไซม์จีซิกพีดี คือ โรคที่เกิดจากภาวะการขาดเอนไซม์ “G6PD” การมีระดับของเอนไซม์ G6PD ต่ำกว่าคนปกติ เอนไซม์ ชนิดนี้พบได้ในเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันไม่ให้เม็ดเลือแดงแตกง่าย โดยปกติเม็ดเลือดแดงของคนเราจะมีอายุ 120 วัน แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ชนิดนี้ หากได้รับยาหรืออาหารที่ห้ามรับประทาน เช่น ถั่วปากอ้า จะเป็นตัวกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตก และทำให้เกิดภาวะซีด เหนื่อย อ่อนเพลีย ตัวเหลืองได้ ซึ่งสาเหตุของการบกพร่องทางเอนไซม์ G6PD เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมของโครโมโซมเพศชนิดโครโมโซมเอ็กซ์ มีการถ่ายทอดยีน G6PD เป็นแบบ X-linked recessive จากมารดาโดยมีโอกาสที่ลูกชายจะเป็นโรคร้อยละ 50 ลูกสาวจะเป็นพาหะร้อยละ 50 ดังนั้นโรคนี้จึงพบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.rajavithi.go.th/rj/?p=16725
ใหม่ ! ดีลีเวอร์ ซิงค์ (15 มก.) แร่ธาตุที่ร่างกายขาดไม่ได้

รู้หรือไม่ ? แร่ธาตุซิงค์สำคัญกับร่างกายมากแค่ไหน !! เมื่อพูดถึงแร่ธาตุซิงค์หลายคนคงนึกถึงแค่ช่วยบำรุงผม เล็บ ลดการเป็นสิว และช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย แต่..รู้มั้ยที่จริงแล้วซิงค์มีดีมากกว่าที่คิด ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างของซิงค์ที่ทุกคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ ซิงค์ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายและช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย 1.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัส Zinc (ซิงค์) มีความสำคัญกับระบบภูมิคุ้มกันเป็นอย่างมาก เพราะร่างกายของเราจำเป็นต้องใช้ซิงค์ในการทำงานของ T – Cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่ช่วยในการควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการเพิ่มขึ้นของปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกาย (Antiviral) หยุดการเจริญของเชื้อ รวมทั้งการเกาะจับของเชื้อในร่างกาย Zinc (ซิงค์) ยังมีฤทธิ์ต้านอักเสบ จึงช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ เช่นโรคปอดอักเสบ เป็นต้น 2.ช่วยลดความรุนแรงของโรคหวัดได้ เมื่อเป็นหวัด Zinc (ซิงค์) จะลดความรุนแรงของอาการ ลดระยะเวลาการเป็นหวัด และหายจากโรคหวัดเร็วขึ้น และ หากร่างกายได้รับ Zinc (ซิงค์) ร่วมกับวิตามินซีเป็นประจำทุกวันยังช่วยป้องกันหวัดได้ 3.ช่วยลดอาการท้องเสีย Zinc (ซิงค์) ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม มีงานวิจัยพบว่า Zinc (ซิงค์) ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสียในเด็กได้ 4. ช่วยรักษาสิวและสมานแผล Zinc (ซิงค์) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของปริมาณไขมัน ตามรูขุมขนที่ผิวหนัง จึงช่วยควบคุมปัญหาการเกิดสิวอุดตันรูขุมขนจากไขมันมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีบทบาทลดอาการอักเสบ ป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ให้กับผิวด้วย 5.ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชายช่วยเพิ่มจำนวนของอสุจิ Zinc (ซิงค์) มีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของระบบสืบพันธุ์ ปรับสมดุลฮอร์โมนเพศชาย จากการศึกษา พบว่าการรับประทานแร่ธาตุสังกะสีวันละ 24 มิลลิกรัมต่อเนื่อง 45-50 วันช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายรวมถึงจำนวนและการเคลื่อนไหวของอสุจิได้อย่างชัดเจนจึงช่วยเพิ่มโอกาสการมีบุตรสำหรับผู้ชายที่มีบุตรยากได้ 6.ช่วยบำรุงผมและเล็บให้แข็งแรง Zinc (ซิงค์) ช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของเส้นผมและเล็บ โดยมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ซ่อมแซมผมและเล็บที่อ่อนแอให้เจริญเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น และยังช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะจึงลดโอกาสการหลุดร่วงของเส้นผม วิธีรับประทาน : เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร รักษาสิว : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า, เย็น พร้อมอาหาร เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า, เย็น พร้อมอาหาร บำรุงผม,เล็บ : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง พร้อมอาหาร
ใหม่ ! นวัตกรรมยับยั้งเชื้อโรคร้าย แต่อ่อนโยนต่อทุกสัมผัส ด้วย Hygienic Freshbio All Skin Spray

ในยุคโควิด-19 แบบนี้ เมื่อการฉีดสเปรย์หรือทาเจลแอลกอฮอล์สม่ำเสมอ อาจช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ต้องแลกกับความกังวลทุกครั้ง ว่าจะสามารถ”หยิบอาหารทานได้ไหม?” ถ้าโดนลูกน้อย หรือสัตว์เลี้ยงที่เรารัก “จะอันตรายรึเปล่า?” อีกทั้ง ยิ่งฉีดบ่อย ยิ่งทำให้มือแห้ง ลอก เป็นขุย และคัน เกิดการระคายเคือง ..ใช้บ่อยแค่ไหน ความกังวล ยิ่งเกิดมากขึ้นตามมา แต่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะมี ตัวช่วยดีๆ ด้วยนวัตกรรมการยับยั้งเชื้อโรค โดยไม่ต้องใช้แอลกอฮอลล์ ป้องกันแบคทีเรียไวรัสได้ ด้วย ไฮจีนิค เฟรชไบโอ ออลล์ สกิน สเปรย์ ที่จะช่วยดูแลในทุกสัมผัส Freshbio VPW นวัตกรรมใหม่ !! เป็นสารสกัดจากพืช มีฤทธิ์ anti-microbial ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัสชนิดมีเปลือกห่อหุ้มเช่นเชื้อโควิด หนึ่งในสารธรรมชาติที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ซึ่งค้นพบจากน้ำมันมะพร้าวก็คือ Monolaurin เป็นสารสกัดจากน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นสารตัวดียวกันกับน้ำนมเหลืองของแม่ มีคุณสมบัติเข้าไปทลายเกราะไขมันที่ห่อหุ้ม ของเชื้อไวรัส รา ยีสต์ โปรโตซัวร์ และยังมีฤทธิต้านไวรัส และสลายเยื่อหุ้มไวรัส มีความปลอดภัย อ่อนโยน และสามารถนำไปใช้ฉีดบนผิวหนังหรือใบหน้าได้โดยตรงเพื่อฆ่าเชื้อไวรัส โดยไม่ทำให้เกิดความระคายเคือง โดยได้รับการจัดกลุ่มจาก Environmental Working Group (EWG) เป็นสารที่อยู่ใน Green grade ซึ่งมีความปลอดภัยสูงมาก ส่วนประกอบหลักของ Freshbio VPW 1. Glyceryl laurate / Monolaurin (Synonym)• ผลิตจากน้ำมันมะพร้าว (Coconut oil) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ• สามารถยับยั้งเชื้อโรคได้โดยการทำลายผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถจับตัวกับเซลล์ปกติในร่างกายได้2. Sodium coco pg-dimonium chloride phosphate• ผลิตจากน้ำมันมะพร้าว (Coconut oil) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ• มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดสิ่งสกปรกได้อย่างอ่อนโยน และคงความชุ่มชื้นที่ผิว3. Levulinic acid• ผลิตจากข้าวโพด ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ• มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมของการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย “แอลกอฮอล์ทั่วไปที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคมีความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวและอาจก่อให้เกิดการติดไฟได้ แต่ McDuree Hygienic Freshbio All Skin Spray ซึ่งนอกจากจะไม่ระคายผิวแล้ว ยังไม่ระเหยง่ายเหมือนแอลกอฮอล์ จะสามารถติดอยู่บนผิวได้นานถึง 4 ชั่วโมง พ่นได้ทั้งบนผิวหน้า และผิวกาย หรือจะนำไปพ่นกับหน้ากากอนามัยหรือเสื้อผ้า มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าแอลกอฮอล์ ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและไม่เป็นอันตราย ฉีดแล้วสามารถหยิบจับ ทานอาหารต่อได้ ปลอดภัยต่อลูกน้อยและสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังให้ความชุ่มชื้น และทำความสะอาดโดยไม่ต้องล้างน้ำออก” เลขที่ใบรับจดแจ้ง : 10-1-6400032116
D’LeVer สุขภาพดี มีได้ทั้งครอบครัว

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร D’LeVer สำหรับทุกๆคนในครอบครัว เพราะคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ผลิตภายใต้โรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ในการดูแลสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักให้แข็งแรง มารู้จักน้ำมันปลากันเถอะ !! น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่ได้มาจากการสกัดเอาน้ำมันออกมาจากส่วนต่างๆ ของปลา เช่น เนื้อปลา หนังปลา หางปลา หัวปลา โดยปลาทะเลที่นำมาสกัดนั้นเป็นปลาที่อยู่ในทะเลน้ำลึกเขตหนาวเย็น เพราะมี กรดไขมัน Omega-3 ปริมาณมากกว่าปลาน้ำจืด ซึ่งกรดไขมัน Omega – 3 มีสารสำคัญคือ Docosahexaenoic acid (DHA) และ Eicosapentaenoic acid (EPA) ประโยชน์ของ DHA และ EPA คืออะไร ? D’LeVer Fish Oil 1000 – ดีลีเวอร์ ฟิช ออยล์ 1000 มก. (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ให้กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ อีพีเอ และ ดีเอซเอ ใน 1 แคปซูลนิ่มประกอบด้วย น้ำมันปลา 1,000 มก. กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (อีพีเอ) 300 มก. กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอซเอ) 200 มก. ประโยชน์ของ D’LeVer Fish Oil 1000 วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละครั้ง หลังอาหาร D’LeVer Fish Oil Mini – ดีลีเวอร์ ฟิช ออยล์ มินิ น้ำปลาเม็ดเล็ก (ขนาด 60 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ให้กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ อีพีเอ และ ดีเอซเอ ใน 1 แคปซูลนิ่มประกอบด้วย น้ำมันปลา 340 มก. กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอซเอ) 240 มก. กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (อีพีเอ) 10 มก. กรดไขมันอิ่มตัว 6.8 มก. ประโยชน์ของ D’LeVer Fish Oil Mini วิธีรับประทาน: รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล พร้อมหรือหลังอาหาร D’LeVer Fish Oil Lecithin 500 – ดีลีเวอร์ ฟิช ออยล์ เลซิติน น้ำมันปลาผสมเลซิติน (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลนิ่มประกอบด้วย น้ำมันปลา 500 mg กรดไอโคซาเฮกซาตาอีโนอิก (ดีเอชเอ) 125 มก. และ กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก (อีพีเอ) 25 มก. Lecithin 500 มก. ประโยชน์ของ D’LeVer Fish Oil Lecithin 500 วิธีรับประทาน: รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล พร้อมหรือหลังอาหาร D’LeVer QQ Min – ดีลีเวอร์ คิวคิว มิน (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย L –Glutathione 15.5% , Goji Berry Extract 11.7% , Citrus SinesisExtract 10.0% , Turmeric Extract 8.6% , Choline Bitartrate 6.6% , Dandelion Extract 5.0% , Oyster Extract2.5% , Black Pepper Extract 0.25% ประโยชน์ของ D’LeVer QQ Min วิธีรับประทาน: • สำหรับสายปาร์ตี้ แก้เมาค้าง Hang over : รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนดื่ม และ อีก 2 แคปซูล หลังดื่ม• สำหรับสายสุขภาพ บำรุงตับ ช่วยกำจัดสารพิษ : รับประทานวันละ1 ครั้ง ครั้งละ 2 แคปซูล D’LeVer Zinc 15 mg – ดีลีเวอร์ ซิงค์ 15 มก (ขนาด 60 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Zinc BisgycinateChelate 15 mg (zinc ในรูปแบบ BisgycinateChelate สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด และลด side effect เรื่องคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด) ประโยชน์ของ D’LeVer Zinc 15 mg วิธีรับประทาน: • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร• รักษาสิว : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า, เย็น พร้อมอาหาร• เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า, เย็น พร้อมอาหาร• บำรุงผม และเล็บ : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง พร้อมอาหาร D’LeVer Collagen Type II Plus+ – ดีลีเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ ทู พลัส+ (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Collagen Type II 40 mg Bororganic glycine 10% (Boron) 20 mg ประโยชน์ของ D’LeVer Collagen Type II Plus+ วิธีรับประทาน: รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง หลังอาหาร D’LeVer Apple Cider Vinegar 400 mg – ดีลีเวอร์ แอปเปิ้ล ไซเดอร์ เวนิก้า 400 มก (ขนาด 45 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Apple Cider Vinegar Powder 400 mg ประโยชน์ของ D’LeVer Apple Cider Vinegar 400 mg วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร 30 นาที D’LeVer Co Q10 – ดีลีเวอร์ โคคิวเท็น (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Coenzyme Q10 30 mg. จากสารสกัดถั่วเหลือง 370 mg. นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประโยชน์ของ D’LeVer Co Q10 วิธีรับประทาน : แนะนำให้รับประทานวันละ 30 – 100 mg
รู้ทันเรื่องข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคของผู้ที่มีอายุมากขึ้นหรือคนที่มีอาการปวดเข่าบ่อยๆ ซึ่งบุคคลที่มีอาการเหล่านี้ เบื้องต้นมักจะรักษาอาการด้วยการทานยาหรือทานอาหารเสริมเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด ซึ่งชื่อยาหรืออาหารเสริมที่ใช้รักษาอาการข้อเข่าเสื่อม หรืออาการปวดเข่าที่เรามักพบเห็นบ่อยๆ คือ กลูโคซามีน (Glucosamine) คอนดรอยติน (Chondroitin) และคอลลาเจน (Collagen) วันนี้ เราจะมาอธิบายว่ายาหรืออาหารเสริมทั้ง 3 ชนิดคืออะไร และแตกต่างกันอย่างไร กลูโคซามีน (Glucosamine) เป็นสารตั้งต้นในการสร้าง โปรตีโอไกลแคน ไกลโคโปรตีน ไกลโคสามิโนไกลแคน กรดโฮยาลูโรนิก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเนื้อเยื่อเกือบทุกชนิดในร่างกายของคนเรารวมทั้งกระดูกอ่อนผิวข้อ โดยโปรตีโอไกลแคน ทำให้กระดูกอ่อนผิวข้อมีความยืดหยุ่น รองรับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อได้ดี เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกอ่อนผิวข้อเริ่มสึกกร่อน น้ำไขข้อลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม จึงมีการนำกลูโคซามีนสังเคราะห์ มาใช้รักษาหรือชะลอความเสื่อมของข้อเข่า ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่ได้รับกลูโคซามีนซัลเฟต วันละ 1,500 มิลลิกรัม เป็นเวลา 3 ปี ช่วยลดอาการปวด และช่วยลดการแคบลงของข้อได้ คอนดรอยติน (Chondroitin) เป็นสารในการสร้างองค์ประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อและกระดูกอ่อนผิวข้อ ทำให้กระดูกมีคุณสมบัติทนต่อแรงกดได้ เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายผลิตคอนดรอยตินลดลง ประสิทธิภาพในการทนต่อแรงกดก็ลดลงตามไปด้วย อันนำไปสู่การเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมนั่นเอง คอลลาเจน (Collagen) เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายรวมทั้งกระดูกอ่อนผิวข้อด้วย มีคุณสมบัติเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายผลิตคอลลาเจนลดลง กระดูกอ่อนผิวข้อจึงเสื่อมไม่แข็งแรงเหมือนตอนอายุยังน้อย ด้วยเหตุนี้จึงหวังผลว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน ที่มีจำหน่ายมากมายในปัจจุบัน จะไปกระตุ้นการสร้างกระดูกอ่อนเพิ่มขึ้น โดยคอลลาเจนที่นิยมนำมาใช้กับกระดูกอ่อนผิวข้อและข้อต่อ คือ คอลลาเจน type 2 แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ Collagen hydrolysate และ Undenatured collagen เนื่องจากคอลลาเจน type 2 เป็นคอลลาเจนที่พบในกระดูกอ่อนผิวข้อ ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สังเคราะห์เซลล์ใหม่ขึ้นมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยเพิ่มระดับน้ำไขข้อ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่จะย่อยสลายน้ำไขข้อ จากการศึกษาของ University of Tuebingen ประเทศเยอรมนี ซึ่งติดตามผู้ที่มีภาวะข้อเสื่อมจํานวน 2,000 คน พบว่าผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อมซึ่งได้รับคอลลาเจน (Collagen Hydrolysate) วันละ 5 กรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดการอักเสบและอาการเจ็บปวด จากการเคลื่อนไหวได้ แม้ว่าผลการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน คอลลาเจนช่วยให้อาการที่เกิดจากข้อเข่าเสื่อมดีขึ้นได้ แต่เนื่องจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน มีมากมายหลายยี่ห้อ วัตถุดิบที่นำมาใช้ผลิตมีหลายประเภทเช่น กระดูกไก่, ปลา, หมู, วัว หรือ ปลาหมึก คุณภาพการผลิตของแต่ละยี่ห้อก็อาจจะมีความแตกต่างกันได้มาก ไม่สามารถควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ และการผลิตได้อย่างเข้มงวดเหมือนกับยา ทำให้เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าคอลลาเจนยี่ห้อใดเมื่อใช้แล้วจะเกิดประโยชน์ หรือ ผลดีต่อโรคข้อเข่าเสื่อมของคนไข้ได้มากที่สุด
ทำแผลอย่างถูกวิธีให้ลูกน้อยวัยซน เพื่อช่วยสมานผิวได้อย่างปลอดภัย

เมื่อลูกน้อยวัยซน เกิดอุบัติเหตุจากการเล่นซุกซนตามวัย ยิ่งสนุกกับการเรียนรู้มากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง เช่น การหกล้มเกิดแผลถลอก แผลน้ำร้อนลวก ไฟลวก คนเป็นพ่อแม่จึงต้องหาวิธีดูแลเมื่อเกิดบาดแผลขึ้น มาดูกันดีกว่าลักษณะของแผลที่มักเกิดขึ้นกับเด็กมีอะไรบ้าง และควรทำแผลอย่างไรถึงจะดีต่อผิวอ่อนโยนของลูกน้อยวัยซน แผลแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ? แผลแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แผลปิดและแผลเปิด 1.แผลปิด จะเป็นแผลที่เนื้อเยื่อของเราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งเร้าภายนอกจะหายได้ไว 2.แผลเปิด จะเป็นแผลที่เนื้อเยื่อมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งสกปรก เชื้อโรค อาจเสี่ยงติดเชื้อได้ ลักษณะของแผลที่มักเกิดขึ้นกับเด็กมีอะไรบ้าง ? แผลถลอก: พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด แม้แผลถลอกจะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น แต่มักมีการเปรอะเปื้อน จึงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น แผลถูกของมีคมบาด: มักทำให้เกิดความเสียหายแก่เส้นเลือด หากเป็นแผลขนาดเล็ก สามารถรักษาได้เอง แต่ถ้าแผลลึกควรรีบพบแพทย์ แผลพุพอง: เกิดจากการที่ผิวหนังถูกเสียดสีมากเกินไป จนเกิดเป็นตุ่มน้ำและแตกออกจากเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ การปฐมพยาบาล ดูแลลูกวัยซนอย่างเหมาะสม ถูกวิธี ด้วยคำแนะนำต่อไปนี้ 1.ห้ามเลือดโดยการใช้สำลีหรือผ้าสะอาดกดที่บริเวณแผลเบา ๆ 2.ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดและกำจัดเศษสิ่งสกปรกออกให้หมด 3.ทายาฆ่าเชื้อกลุ่ม โพวิโดน ไอโอดีน ให้ทั่วบริเวณแผล เพื่อช่วยสมานผิวบริเวณรอบๆ บาดแผลและป้องกันการติดเชื้อโรค 4.ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าปิดแผล การเลือกครีมทาฆ่าเชื้อโรค ก็เป็นอีกสิ่งที่ควรเลือก เพื่อช่วยสมานผิวได้อย่างปลอดภัยลูกน้อยวัยซน Antiseptic gel เจลฆ่าเชื้อสำหรับทาแผลสด มีส่วนผสมของโพวิโดน ไอโอดีน มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคทั่วไป เช่น เชื้อไวรัส เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย ใช้ทาบริเวณแผลสด แผลทั่วไป แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ล้างออกง่าย ไม่ติดเสื้อผ้า ทำให้บาดแผลหายไวและผิวหนังไม่อักเสบระคายเคือง แค่ 4 วิธีง่ายๆในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แผลของลูกน้อยวัยซนก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
สารต้านอนุมูลอิสระกับสุขภาพในช่องปาก

อนุมูลอิสระ (Free Radical) หมายถึง อะตอมหรือโมเลกุลที่มีความไม่เสถียรและไวต่อการเกิดปฏิกิริยา ซึ่งเป็นสารพลอยได้ที่เกิดจากกระบวนการทำงานของร่างกาย เช่น การเผาผลาญอาหาร การหายใจของเซลล์ รวมถึงเกิดขึ้นจากกลไกการป้องกันตัวเองของร่างกายจากเชื้อจุลชีพ อนุมูลอิสระทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ร่างกาย ทั้งนี้ร่างกายเราจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สร้างได้เอง รวมกับวิตามินและแร่ธาตุที่ได้จากการทานอาหาร เพื่อช่วยควบคุมสมดุลของระบบการสร้างและทำลายเซลล์ร่างกาย อนุมูลอิสระในช่องปากของเรา ช่องปากเป็นจุดที่เราใช้ในการบริโภคอาหาร สำหรับผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นปริมาณอนุมูลอิสระในช่องปากและร่างกายของเรา รวมถึงผู้ที่ดูแลสุขอนามัยในช่องปากไม่ดีเพียงพอ จะมีการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งส่งผลเพิ่มอนุมูลอิสระเช่นเดียวกัน หากร่างกายมีสารดังกล่าวมากเกินไป หรือขาดสารต้านอนุมูลอิสระ จนมีการสะสมของอนุมูลอิสระ จะเกิดภาวะที่เรียกว่า Oxidative Stress จากข้อมูลวารสารทางการแพทย์พบว่าภาวะ Oxidative Stress มีความสัมพันธ์กับโรคในช่องปาก ทั้งโรคเหงือก ฟันผุ ฝ้าขาวที่ลิ้น และมะเร็งในช่องปาก เนื่องจากอนุมูลอิสระจะเร่งให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อ และการอักเสบในช่องปาก ทั้งนี้เราสามารถลดการเกิดภาวะ Oxidative Stress เพื่อสุขภาพในช่องปากของเราได้ ด้วยการดูแลสุขอนามัยของช่องปากเพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค และลดการบริโภคแอลกอฮอล์และบุหรี่ สำหรับการเสริมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง โดยเฉพาะการรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืช ที่มีวิตามิน A, C และ E และยังมีเส้นใย (Fiber) ที่ช่วยขัดคราบสะสมตามซอกเหงือกและฟันเมื่อเราเคี้ยวอาหารดังกล่าวด้วย ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ยาสีฟันผสมชาเขียว และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เช่น น้ำมันกานพลู ซึ่งนอกจากจะมีฤทธิ์ช่วยให้ชาเฉพาะที่แล้วและลดการอักเสบแล้ว ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย แบคตาดีน เมาท์ สเปรย์ มีส่วนผสมของน้ำมันกานพลู น้ำผึ้ง และสารสกัดจากถั่งเช่า ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลสุขภาพในช่องปาก และสมุนไพรกลุ่มน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้ลมหายใจหอมสดชื่น ข้อมูลอ้างอิง .R, S. P., 2014. Antioxidants in Oral Healthcare. J. Pharm. Sci. & Res., 6(4), pp. 206-209. Compendium of Continuing Education for Dentistry, 2013. Use of Antioxidants in Oral Healthcare. [Online] Available at: https://www.aegisdentalnetwork.com/cced/2011/03/use-of-antioxidants-in-oral-healthcare [Accessed Oct 2021]. Dr. Nimmi Singh, e. a., 2013. Antioxidants in Oral Health and Diseases: Future Prospects. Journal of Dental and Medical Sciences, 10(3), pp. 36-40. สกุลเผือก, ด., n.d. อนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระ. [Online] Available at: https://ccpe.pharmacycouncil.org/showfile.php?file=204 [Accessed Oct 2021].