เปิดโลก “วิตามินซีบัฟเฟอร์” ตัวช่วยเสริมภูมิคุ้มกันแบบอ่อนโยน ไม่ทำร้ายกระเพาะอาหาร

เมื่อเอ่ยถึงวิตามินซี เชื่อแน่ว่าทุกคนรู้จักและทราบถึงประโยชน์มากมายของวิตามินซีซึ่งวิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่สำคัญในการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และมีประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ช่วยในการป้องกันโรคหวัด ภูมิแพ้ โดยมีส่วนช่วยลดความรุนแรง และระยะเวลาการเป็นหวัด รวมทั้งบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ หรือมีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความแข็งแรงให้กับเม็ดเลือดขาวในการต่อต้านเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมเมื่อเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ และเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทาน โดยอาหารในธรรมชาติที่มีวิตามินชนิดนี้จะอยู่ในอาหารประเภทผักและผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม สับปะรด มะขาม ฝรั่ง มะนาว และมะเขือเทศ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รับประทานผักและผลไม้ได้ไม่มากเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการหลายคนจึงเสี่ยงที่ร่างกายจะขาดวิตามินซี ทำให้ต้องอาศัยการรับประทานในรูปแบบของวิตามินเสริมทดแทน แต่อย่างไรก็ตาม วิตามินซีมีความเป็นกรดสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีกระเพาะอาหารอ่อนแอหรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีบัฟเฟอร์ (Buffered Vitamin C) เป็นรูปแบบของวิตามินซีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดความเป็นกรด โดยการเติมแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม หรือโพแทสเซียม เข้าไป ทำให้วิตามินซีมีความเป็นกลางมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยลง มีให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น ปริมาณการรับประทาน ปริมาณการรับประทานวิตามินซีบัฟเฟอร์ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ สุขภาพ และความต้องการของร่างกาย โดยทั่วไป ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่คือ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ข้อควรระวัง วิตามินซีบัฟเฟอร์เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนต่อกระเพาะอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานวิตามินซี แต่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานวิตามินซีบัฟเฟอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาอื่น
การออกกำลังกายแบบไหนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด

การออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาว การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง และเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม แต่ด้วยรูปแบบการออกกำลังกายที่หลากหลาย ทำให้หลายคนสงสัยว่าการออกกำลังกายแบบใดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด แต่จริงๆแล้วประโยชน์ของการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ความชอบ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล มาการเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเรากันเลย การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจและปอด ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและหายใจถี่ขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง คือ การออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน เช่น การยกน้ำหนัก การใช้ยางยืด หรือการใช้น้ำหนักตัว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง การออกกำลังกายแบบยืดเหยียด คือ การออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ และเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบยืดเหยียด ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบยืดเหยียด การออกกำลังกายแบบทรงตัว คือ การออกกำลังกายที่เน้นการพัฒนาการทรงตัวของร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงของการหกล้ม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบทรงตัว ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบทรงตัว: การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์สูงสุดมักเป็นการผสมผสานการออกกำลังกายแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 3-5 วันต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง 2-3 วันต่อสัปดาห์ และการออกกำลังกายแบบยืดเหยียดและทรงตัวอย่างสม่ำเสมอ การผสมผสานนี้จะช่วยพัฒนาความแข็งแรง ความทนทาน ความยืดหยุ่น และการทรงตัวของร่างกายอย่างครอบคลุม การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมเหมาะสมควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ไม่มีการออกกำลังกายรูปแบบใดที่ “ดีที่สุด” อย่างไรก็ตาม การผสมผสานการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง ยืดเหยียด และทรงตัว จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ความชอบ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและได้รับประโยชน์สูงสุด การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง และเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม
บำรุงสมองให้ไบรท์ ทำงานฉับไว ด้วยน้ำมันปลาสำหรับวัยทำงาน

ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูง การทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่เฉียบคม และการรับมือกับข้อมูลจำนวนมหาศาล กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับวัยทำงาน สมองจึงเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้พร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ การบำรุงสมองจึงไม่ใช่แค่เรื่องของผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่วัยทำงานควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในตัวช่วยสำคัญในการบำรุงสมองที่ได้รับความนิยมคือ “น้ำมันปลา” วัยทำงานมักจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ไม่ว่าจะเป็น จากความท้าทายเหล่านี้ ทำให้สมองของวัยทำงานต้องการสารอาหารที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำมันปลา “น้ำมันปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งประกอบด้วย EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid)” ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมอง ประโยชน์ของน้ำมันปลาต่อสมองของวัยทำงาน นอกจากการรับประทานน้ำมันปลาแล้ว การดูแลสุขภาพสมองด้านอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน น้ำมันปลาเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสมองของวัยทำงาน ช่วยเสริมสร้างความจำ การเรียนรู้ สมาธิ ลดความเครียด และอาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม การเลือกรับประทานน้ำมันปลาที่มีคุณภาพและปริมาณโอเมก้า 3 ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ จะช่วยให้สมองของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตการทำงานได้อย่างเต็มที่
ไขความลับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คืนชีวิตให้กลับมาแอคทีฟได้เต็มที่

อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นจากการทำงานหนัก การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก มาทำความรู้จักกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อประเภทของอาการ สาเหตุ ท่าทางการออกกำลังกายเพื่อบรรเทา รวมถึงวิธีการบรรเทาอาการปวดเมื่อยด้วยตนเองกันเถอะ นอกจากการออกกำลังกายแล้ว ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ ดังนี้ อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งการออกกำลังกาย การพักผ่อน การประคบร้อนและเย็น การนวด การใช้ยา และการใช้สเปรย์บรรเทาอาการปวด การเลือกวิธีการบรรเทาอาการที่เหมาะสมกับสาเหตุและลักษณะอาการ จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข หากอาการปวดเมื่อยไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
เคล็ดลับดูแลสุขภาพในอากาศหนาว พร้อมเสริมสร้างด้วยซิงค์

เมื่อลมหนาวพัดมา อุณหภูมิที่ลดลงไม่เพียงแต่ทำให้เรารู้สึกหนาวสั่น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของเราในหลายด้าน ทั้งผิวพรรณ ระบบทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกัน การดูแลสุขภาพในช่วงอากาศหนาวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ บทความนี้จะนำเสนอแนวทางการดูแลสุขภาพในอากาศหนาวอย่างครอบคลุม พร้อมทั้งแนะนำอาหารที่ควรเสริม การรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงอากาศหนาว เพราะร่างกายจะสูญเสียความร้อนได้ง่ายกว่าปกติ การปฏิบัติตนเพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ อากาศที่แห้งและเย็นในช่วงหน้าหนาว มักทำให้ผิวแห้ง แตก และระคายเคือง การดูแลผิวพรรณจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาผิวต่างๆ ในช่วงอากาศหนาว โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม มักจะแพร่ระบาดได้ง่าย การดูแลระบบทางเดินหายใจจึงมีความสำคัญ ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศหนาว การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสามารถทำได้โดย การดูแลสุขภาพในอากาศหนาวเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ การปฏิบัติตนเพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกาย การดูแลผิวพรรณ การดูแลระบบทางเดินหายใจ และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติควบคู่กันไป การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่มีซิงค์สูง หรือการเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีซิงค์ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง พร้อมรับมือกับอากาศหนาว
ดูแลหัวใจ เติมพลังให้ร่างกายด้วย D’LeVer Co Q-10 เพื่อสุขภาพที่ดี

โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10) หรือที่รู้จักกันในชื่อยูบิควิโนน (Ubiquinone) เป็นสารประกอบที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แหล่งที่มาของโคเอนไซม์คิวเท็น ร่างกายมนุษย์สามารถผลิตโคเอนไซม์คิวเท็นได้เองตามธรรมชาติ แต่ปริมาณการผลิตจะลดลงตามวัย นอกจากนี้ยังสามารถพบโคเอนไซม์คิวเท็นได้ในอาหารบางชนิด เช่น ข้อควรระวัง:
D’LeVer Apple cider vinegar คุมหิว อิ่มนาน ประโยชน์เต็มเม็ด

แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือ น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์วีนีการ์ (Apple Cider Vinegar) คือ น้ำส้มสายชูที่เกิดจากการหมักแอปเปิ้ลสดในถังไม้ (น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลบด) โดยไม่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนและกรอง จึงยังคงเอนไซม์ และแร่ธาตุจากธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน กำลังเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ มีคุณสมบัติเป็นกรดประมาณ 5% มีกลิ่นที่ฉุน และลักษณะเป็นน้ำสีเหลืองใส คล้ายสีชา มีรสชาติเปรี้ยวจัดมีเส้นใยบาง ๆ ลอยอยู่ มีธาตุอาหารกว่า 30 ชนิด และวิตามิน 6 ชนิด มีกรดอะมิโน ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ และมีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซียมสูง เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์ สามารถลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ หากขาดธาตุนี้จะทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ มีผลทำให้ผมหงอก แก่เร็ว เป็นต้น สารสำคัญเด่นใน Apple Cider Vinegar อีกตัวคือ เพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ สามารถดูดซับน้ำตาลและไขมันไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้การเผาผลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน Apple Cider Vinegar กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประโยชน์ทางด้านสุขภาพของมันที่มีมากมายไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ลดคอเลสเตอรอล หรือแม้กระทั่งช่วยบำรุงผิว ซึ่ง Apple Cider Vinegar เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติทำให้กลุ่มคนที่ชอบรักษารูปร่าง นักกีฬา หันมาสนใจกันอย่างแพร่หลาย และได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 1.ช่วยลดความอยากอาหาร จะทำให้ลดอัตราการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือดที่เป็นฮอร์โมนทำให้เกิดความหิว และเมื่ออินซูลินหลั่งน้อยลง จึงทำให้ลดความอยากอาหารได้2.ช่วยระบบย่อยอาหาร มีส่วนช่วยทำให้ระบบการย่อยโปรตีนในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากมีความเป็นกรด จึงทำปฏิกิริยากับโปรตีนในการช่วยย่อยได้ดี และเข้าไปช่วยระบบย่อยอาหารทำลายแบคทีเรียไม่ดี เป็นสาเหตุทำให้ท้องเสียหรือท้องผูกอีกด้วย นอกจากนี้ยังลดอาการท้องผูก ท้องอืด แน่นท้อง ที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย3.ช่วยให้ผิวแข็งแรงกระจ่างใสและช่วยลดสิว มีกรดอะซิติกที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อรา ต้านแบคทีเรีย และต้านไวรัส จึงทำให้ผิวแข็งแรง นอกจากนี้ปริมาณกรดอัลฟ่าไฮดรอกซีใน ACV จะช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ส่งผลให้ผิวใส และมีสุขภาพผิวที่ดี4.ช่วยดีท็อกซ์สารพิษในร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ ทำหน้าที่เป็นยาฆ่าเชื้อโรค และทำลายแบคทีเรียตัวร้ายที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยดีท็อกซ์และช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร ช่วยกระตุ้นกระบวนการล้างพิษตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะการขับสารพิษของตับ5.ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ลดการเกิดผมหงอก มีสารโพแทสเซียมสูงซึ่งมีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์ของร่างกาย ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้รวดเร็ว ช่วยชะลอความแก่ของเซลล์ ดังนั้นจึงช่วยชะลอความชรา ช่วยลดอาการผมร่วงและลดการเกิดผมหงอกได้อีกด้วย6.ช่วยบำรุงระบบทางเดินปัสสาวะ มีส่วนช่วยในการลดการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียก่อโรค E.Coli ที่ก่อให้เกิดการอักเสบในทางเดินปัสสาวะได้โดยการทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น7.ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดลดการเกิดโรคเบาหวานและเร่งการเผาผลาญไขมัน มีสารสำคัญที่ช่วยสามารถปรับปรุงการตอบสนองต่ออินซูลิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หลังรับประทานอาหารและเร่งการเผาผลาญไขมัน มีสาระสำคัญ คือ เพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ สามารถดูดซับน้ำตาลและไขมัน ไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจึงส่งผลทำให้ช่วยลดความดันโลหิตได้ ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมคือวันละ 2 ช้อนชาหรือน้อยกว่า ด้วยการผสมกับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ แต่หากรับประทานชนิดเม็ด ขนาดที่แนะนำคือ 600-1,200 มิลลิกรัม (ปริมาณที่อย. อนุญาตให้รับประทาน/วัน) การรับประทานน้ำ Apple Cider Vinegar ก็อาจเป็นเรื่องยากของใครหลายๆ คนที่ไม่ชอบกลิ่น และรสเปรี้ยวจัด จึงทำให้ ACV ถูกนำมาประยุกต์ในวงการอาหารเสริมต่างๆ โดยทำออกมาในรูปแบบที่รับประทานง่าย โดยทำเป็นผงชงดื่มรสชาติต่างๆ แคปซูล เม็ดตอก หรือผสมกับสารสกัดจากสมุนไพรอื่นๆ เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพหรือเสริมสรรพคุณในด้านเฉพาะตัวของมัน เพื่อเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคหลายๆ ประเภท
ดื่มมาหนัก แต่ไม่อยากแฮงค์ต้องพกซองนี้ D’LeVer QQ Min

จบงานปาร์ตี้หรือช่วงเทศกาลทีไร เป็นต้อง เมาค้าง ทุกที แต่สำหรับนักปาร์ตี้แล้ว บรรยากาศในวงเหล้า เคล้าเสียงเพลง และสังคมหมู่เพื่อน คือ เสน่ห์อย่างหนึ่งของการสังสรรค์มากกว่ารสชาติของแอลกอฮอล์ขมๆ เสียอีก เมื่อความสนุกสนานเริ่มขึ้น แอลกอฮอล์จะช่วยเติมเต็มให้ค่ำคืน หอมหวนและอบอวลไปด้วยความสุขเพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง และคลายกล้ามเนื้อ เมื่อได้รับปริมาณเล็กน้อยจึงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แอลกอฮอล์ ส่งผลต่อร่างกายของเราอย่างไร ? แอลกอฮอล์มีชื่อทางเคมีว่า Ethanol หรือ Ethyl Alcohol จัดเป็นสารกดประสาทชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มไปแล้ว ร่างกายเราจะทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดออกไป แต่ผลกระทบอาจจะไม่ใช่แค่รอตับกำจัดแค่นั้น แต่ระหว่างที่รอ แอลกอฮอล์จะส่งผลมากมายต่อร่างกาย เมื่อแอลกอฮอล์เดินทางไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เพื่อดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด ตับอ่อนจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา หากว่าเราปล่อยให้ท้องว่าง ระดับน้ำตาลในเลือดจะน้อยอยู่แล้วเป็นทุนเดิม หากเผลอดื่มแอลกฮอล์ไปทีละมากๆ จะยิ่งถูกฮอร์โมนอินซูลินออกมาขโมยน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง จึงเกิดอาการคล้ายน้ำตาลตก และจะเริ่มมีอาการมึนๆ งงๆ ตามมา และมึนเมาได้ไวกว่าคนที่รองท้องมาด้วยอาหาร หรือทานของแกล้มไปด้วย เมาค้างหรืออาการแฮงค์ (Hang Over) คือกลุ่มอาการไม่พึงประสงค์จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โดยอาการเมาค้างจะเกิดขึ้นเมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงซึ่งตรงกับช่วงเช้าอีกวันหลังจากที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในคืนก่อน ทั้งนี้ ชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปริมาณที่ดื่มเข้าไปก็ส่งผลให้เกิดอาการเมาค้างที่แตกต่างกัน หากร่างกายได้รับปริมาณแอลกอฮอล์มาก ก็จะทำให้เกิดอาการเมาค้างมากขึ้นตามไปด้วย สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการเมาค้างคือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และเกิดอาการอักเสบในร่างกาย บางคนสามารถเกิดอาการเมาค้างได้แม้ดื่มไม่มาก ส่วนบางคนอาจต้องดื่มในปริมาณมากถึงจะเกิดอาการ โดยปริมาณแอลกอฮอล์ที่ได้รับเข้าไปนั้นส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดอาการเมาค้างต่าง ๆ ดังนี้ 1.ผลิตน้ำปัสสาวะมาก เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้าไป แอลกอฮอล์จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตน้ำปัสสาวะมาก ทำให้ผู้ดื่มต้องปัสสาวะบ่อยกว่าปกติจนนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งมักปรากฏออกมาเป็นอาการกระหายน้ำ เวียนศีรษะ และมึนศีรษะ2.เกิดการอักเสบของร่างกาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางอย่างทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ และส่งผลต่อสารเคมีในสมองที่เรียกว่า สารสื่อประสาท ซึ่งทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ มีความอยากอาหารลดลง หรือรู้สึกเบื่อกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นปกติ3.ระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหารให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ย่อยอาหารได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ผู้ดื่มมักปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน4.ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ตัวสั่น อารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง รวมทั้งเกิดอาการชักขึ้นได้5.หลอดเลือดขยาย หากหลอดเลือดในร่างกายขยายออกอันเป็นผลจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกปวดศีรษะได้6.นอนหลับไม่เพียงพอ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ส่งผลต่อประสิทธิภาพการนอนหลับ เนื่องจากแอลกอฮอล์ส่งผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้ผู้ดื่มอาจนอนหลับไม่สนิทหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้เกิดอาการเพลีย เดินเซ และเหนื่อยล้า 1.ขิง มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการคลื่นไส้ ช่วยทำให้ฟื้นจากอาการปวดหัว และยังช่วยระบบขับถ่ายเอาแอลกอฮอล์ออกมาอีกด้วย เพียงแค่เตรียมน้ำขิงร้อนๆผสมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาว โดยนำน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ผสมกับน้ำร้อนแล้วคนให้เข้ากัน2.ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ไปเพิ่ม ALDH ช่วยกำจัดสารพิษที่เกิดจากแอลกอฮอล์, ลดระดับแอลกอฮอล์และสารพิษที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (Acetaldehyde) ในเลือดได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST, ALP) ได้อีกด้วย3.โกจิ เบอรี่ เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับ ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ ALDH ช่วยให้ตับขับสารพิษได้ดีขึ้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องตับจากการเกิดผังผืดที่ตับและตับแข็ง 4.แดนดิไลออน มีฤทธิ์ช่วยบำรุงตับ โดยกระตุ้นการสร้างน้ำดีที่ตับและเพิ่มการไหลน้ำดีไปยังถุงน้ำดี กระตุ้นการหดตัวและการคลายตัวของถุงน้ำดี ในขณะเดียวกันรากของแดนดิไลอ้อนมีสารโคลีนปริมาณสูง ส่งผลทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับและถุงน้ำดี ทำให้ภาวะโรคตับต่างๆ ดีขึ้น เช่น ท่อทางเดินน้ำดีอักเสบ, ตับอักเสบ, ดีซ่าน, ตับแข็ง5.โคลีน เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับ ช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปสะสมที่ตับและป้องกันการเกิดไขมันพอกตับ ฟื้นฟูการทำงานของตับ ข้อควรรู้หนึ่งอย่างหลังดื่มเสร็จ หากมีอาการปวดหัวอย่ารับประทานยาเพื่อบรรเทาโดยทันที เพราะร่างกายมีปริมาณแอลกอฮอล์สะสมอยู่มาก เมื่อยาเจอกับแอลกอฮอล์อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อตับได้ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากส่งผลกระทบต่อสมองแล้ว ยังผลต่อตับ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันสะสมที่ตับ รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้สารพิษที่ร่างกายได้รับมาสะสมในตับ หากดื่มบ่อยๆ อาจนำไปสู่ตับอักเสบ พังผืดที่ตับ ในที่สุด ก็จะกลายเป็นตับแข็งได้ หากไม่สามารถเลิกได้ ควรดื่มอย่างมีสติและพอประมาณ ไม่มากจนเกินไป นอกจากจะไม่ต้องเสียเวลาแก้เมาค้างแล้ว การเว้นวรรคให้ร่างกายได้พักผ่อนฟื้นฟูจะเป็นผลดีมากกว่า ที่สำคัญ หากเมาแล้วไม่ควรขับรถ ไม่ว่าจะดื่มมากหรือน้อยก็ตาม เพราะการขับรถทั้งที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในเลือด อาจทำให้ผลการตัดสินใจต่าง ๆ ลดลง และเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายด้วย สุขภาพที่ดี เรากำหนดได้เอง จากการดื่มอย่างมีสติและพอประมาณ
เลือกดื่มเกลือแร่ที่ใช่ ท้องเสีย VS ออกกำลังกาย ชดเชยน้ำให้ถูกวิธี

เกลือแร่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ควบคุมการไหลเวียนของน้ำ รักษาสมดุลกรด-ด่าง ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท เป็นต้นในชีวิตประจำวัน สามารถได้รับเกลือแร่จากอาหารต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ นม ไข่ เป็นต้น บางครั้งร่างกายก็อาจสูญเสียเกลือแร่ได้มากขึ้น เช่น จากการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย จากการอาเจียนหรือท้องเสีย เป็นต้น การเลือกดื่มเกลือแร่ทดแทนให้เหมาะสมกับสภาวะของร่างกายนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เกลือแร่คืออะไร ? “เกลือแร่” คือ แร่ธาตุที่ช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำและแร่ธาตุต่างๆ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังงาน แร่ธาตุและน้ำในร่างกาย โดยในแต่ละวันร่างกายต้องการเกลือแร่ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเพื่อทำให้ร่างกายของเราทำงานได้อย่างเป็นปกติ เกิดอะไรขึ้น…หากขาดสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ? การขาดสมดุลเกลือแร่สามารถพบได้ในคนที่สูญเสียน้ำในร่างกายมาก เช่น เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย อาเจียนหรือท้องเสีย เป็นต้น หากร่างกายเสียสมดุลเกลือแร่ในปริมาณมาก อาจมีอาการแสดงเพียงเล็กน้อย หรืออาจรุนแรงจนก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ตัวอย่างอาการแสดงต่าง ๆ ได้แก่ ไม่มีแรง ปากแห้ง ปากซีด ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อยผิดปกติ หรืออาจถึงขั้นหัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น การชดเชยการสูญเสียน้ำโดยการรับประทานเกลือแร่ทดแทน เพื่อป้องกันการเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เกลือแร่ทดแทน มีกี่ประเภท ? 1.เกลือแร่สำหรับออกกำลังกายการออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเสียเหงื่อ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ได้ โดยเฉพาะโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ การสูญเสียเกลือแร่เหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น เกลือแร่สำหรับออกกำลังกายจึงมีส่วนประกอบของเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมักมีปริมาณโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ สูง เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกาย2.เกลือแร่สำหรับดื่มตอนท้องเสียอาการท้องเสียมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ โดยเฉพาะโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ การสูญเสียเกลือแร่เหล่านี้อาจทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น เกลือแร่สำหรับดื่มตอนท้องเสียจึงมีส่วนประกอบของเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมักมีปริมาณโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ สูง เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากอาการท้องเสีย เกลือแร่ทั้ง 2 ชนิดสามารถใช้ทดแทนกันได้หรือไม่ ? “ไม่แนะนำ” ให้ผู้ที่มีอาการท้องเสียดื่มเกลือแร่ทดแทนสำหรับการออกกำลังกาย เนื่องจากร่างกายจะสูญเสียน้ำและแร่ธาตุอย่างฉับพลันจากภาวะท้องเสียหรืออาเจียน ซึ่งควรได้รับการทดแทนในทันที แตกต่างจากการออกกำลังกายที่ร่างกายสูญเสียน้ำและน้ำตาลเป็นหลักและเสียแร่ธาตุในปริมาณที่น้อยมาก โดยเกลือแร่สำหรับผู้ออกกำลังกายจะมีปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า หากผู้ป่วยท้องเสียดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกาย น้ำตาลที่มีปริมาณสูงในเครื่องดื่มจะดึงเอาน้ำเข้าสู่ทางเดินอาหารเพิ่มมากขึ้นทำให้ลำไส้บีบตัวและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียมากขึ้นอีกในเวลาต่อมา*แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เภสัชกรในการเลือกรับประทานเกลือแร่ทดแทนที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับภาวะร่างกายต่าง ๆ ได้
Office Syndrome โรคยอดฮิตที่เกิดได้กับทุกคน

✓ Checklist Office Syndrome คุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่? 1.นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน 2.ระหว่างทำงาน จะรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ บ่า ไหล่ สะบัก และหลัง 3.มีก้อนกล้ามเนื้อเกิดขึ้น 4.เมื่อกดไปจุดที่เจ็บ จะมีอาการร้าวไปตามกล้ามเนื้อ 5.มีการตึงของกล้ามเนื้อ เมื่อหันหรือยกแขนจะทำได้ลำบาก 6.เมื่อเกิดอาการปวดต้องกินยาแก้ปวด หรือไปนวดเพื่อให้หายปวด รู้หรือไม่อาการออฟฟิศซินโดรมไม่ได้เป็นแค่ในกลุ่มคนทำงานประจำ แต่สามารถเป็นได้ทั้งนักเรียน นักศึกษา นักกีฬา หรืออาชีพอื่น ๆ ที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิม ๆ ก็สามารถทำให้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ มาทำความรู้จักกับ ‘โรคออฟฟิศซินโดรม’ ว่าเกิดจากอะไร เป็นแล้วมีอาการผิดปกติอย่างไร และสามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีใดบ้าง ตามไปดูเรื่องราวของโรคสุดฮอตฮิตนี้กันเลย ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) จัดอยู่ในกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) ซึ่งมักเกิดจากการที่ต้องใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำไปมา เป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง โดยผลของมันจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ ตลอดจนปวดเมื่อยตามอวัยวะส่วนอื่น ๆ ไล่ลงมาตั้งแต่คอ หลัง บ่า ไหล่ แขน หรือแม้กระทั่งบริเวณข้อมือก็ไม่เว้น ซึ่งหากผู้ที่พบว่ามีอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม แต่ไม่ทำการรักษาตัวในทันทีที่พบ อาการอาจทรุดหนักลงและลุกลามจนผู้ป่วยมีอาการปวดชนิดเรื้อรังก็เป็นได้ สาเหตุของการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม โดยส่วนมากอาการปวดกล้ามเนื้อจากโรคออฟฟิศซินโดรม มักพบได้บ่อยในคนทำงานออฟฟิศเป็นหลัก นั่นเพราะพฤติกรรมการทำงานที่ต้องนั่นจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจนลืมตัว โดยแทบจะไม่มีการขยับตัวปรับเปลี่ยนอิริยาบถใด ๆ หรือลุกขึ้นเดินไปไหนมาไหนเลย ซึ่งนี่เป็นผลทำให้กล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ เกิดอาการยึดเกร็งและอักเสบในเวลาต่อมา อาการแบบไหน เสี่ยง! “ออฟฟิศซินโดรม” ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้ แก้อาการออฟฟิศซินโดรมแบบเร่งด่วน !! การยืดกล้ามเนื้อในขณะกำลังทำงานเป็นระยะ ๆ แบ่งเป็นการยืดเพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนบน และกล้ามเนื้อส่วนล่าง โดยมักจะเน้นกล้ามเนื้อที่เกิดอาการปวดบ่อย ๆ ในกลุ่มคนที่ทำงานออฟฟิศ การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือถ้าไม่มีเวลาสามารถใช้สเปรย์แก้ปวดใช้บรรเทาอาการได้ รับประทานยาแก้ปวด การป้องกันการเกิดออฟฟิศซินโดรม ออกกำลังกายด้วยท่าที่เหมาะสมกับอาการ เช่น การยืดกล้ามเนื้อให้เกิดความยืดหยุ่น การออกกำลังเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยต้องอาศัยความใส่ใจและความสม่ำเสมอ ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น ปรับระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ ให้สามารถนั่งทำงานในท่าที่สบาย ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานกล้ามเนื้อให้เหมาะสม เช่น ในระหว่างทำงานควรมีการยืดเหยียดหรือเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างน้อยทุก ๆ 1 ชั่วโมง แนวทางการรักษาออฟฟิศซินโดรม สามารถเริ่มได้ที่ตัวเราเอง ด้วยการปรับพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่ ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พยายามพักผ่อน ยืดเหยียดบริหารกล้ามเนื้อบ้าง และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน เสาะหาวิธีลดความเครียดหรือลดการทำงานหนัก ซึ่งจะเป็นแนวทางการป้องกันที่ยั่งยืนที่สุด