Macrophar

D’LeVer Apple cider vinegar คุมหิว อิ่มนาน ประโยชน์เต็มเม็ด

แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือ น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์วีนีการ์ (Apple Cider Vinegar) คือ น้ำส้มสายชูที่เกิดจากการหมักแอปเปิ้ลสดในถังไม้ (น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลบด) โดยไม่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนและกรอง จึงยังคงเอนไซม์ และแร่ธาตุจากธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน กำลังเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ มีคุณสมบัติเป็นกรดประมาณ 5% มีกลิ่นที่ฉุน และลักษณะเป็นน้ำสีเหลืองใส คล้ายสีชา มีรสชาติเปรี้ยวจัดมีเส้นใยบาง ๆ ลอยอยู่ มีธาตุอาหารกว่า 30 ชนิด และวิตามิน 6 ชนิด มีกรดอะมิโน ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ และมีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซียมสูง เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์ สามารถลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ หากขาดธาตุนี้จะทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ มีผลทำให้ผมหงอก แก่เร็ว เป็นต้น สารสำคัญเด่นใน Apple Cider Vinegar อีกตัวคือ เพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ สามารถดูดซับน้ำตาลและไขมันไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้การเผาผลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน Apple Cider Vinegar กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประโยชน์ทางด้านสุขภาพของมันที่มีมากมายไม่ว่าจะเป็นช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ลดคอเลสเตอรอล หรือแม้กระทั่งช่วยบำรุงผิว ซึ่ง Apple Cider Vinegar เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติทำให้กลุ่มคนที่ชอบรักษารูปร่าง นักกีฬา หันมาสนใจกันอย่างแพร่หลาย และได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 1.ช่วยลดความอยากอาหาร จะทำให้ลดอัตราการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือดที่เป็นฮอร์โมนทำให้เกิดความหิว และเมื่ออินซูลินหลั่งน้อยลง จึงทำให้ลดความอยากอาหารได้2.ช่วยระบบย่อยอาหาร มีส่วนช่วยทำให้ระบบการย่อยโปรตีนในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากมีความเป็นกรด จึงทำปฏิกิริยากับโปรตีนในการช่วยย่อยได้ดี และเข้าไปช่วยระบบย่อยอาหารทำลายแบคทีเรียไม่ดี เป็นสาเหตุทำให้ท้องเสียหรือท้องผูกอีกด้วย นอกจากนี้ยังลดอาการท้องผูก ท้องอืด แน่นท้อง ที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย3.ช่วยให้ผิวแข็งแรงกระจ่างใสและช่วยลดสิว มีกรดอะซิติกที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อรา ต้านแบคทีเรีย และต้านไวรัส จึงทำให้ผิวแข็งแรง นอกจากนี้ปริมาณกรดอัลฟ่าไฮดรอกซีใน ACV จะช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ส่งผลให้ผิวใส และมีสุขภาพผิวที่ดี4.ช่วยดีท็อกซ์สารพิษในร่างกาย มีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ ทำหน้าที่เป็นยาฆ่าเชื้อโรค และทำลายแบคทีเรียตัวร้ายที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยดีท็อกซ์และช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร ช่วยกระตุ้นกระบวนการล้างพิษตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะการขับสารพิษของตับ5.ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ลดการเกิดผมหงอก มีสารโพแทสเซียมสูงซึ่งมีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์ของร่างกาย ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้รวดเร็ว ช่วยชะลอความแก่ของเซลล์ ดังนั้นจึงช่วยชะลอความชรา ช่วยลดอาการผมร่วงและลดการเกิดผมหงอกได้อีกด้วย6.ช่วยบำรุงระบบทางเดินปัสสาวะ มีส่วนช่วยในการลดการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียก่อโรค E.Coli ที่ก่อให้เกิดการอักเสบในทางเดินปัสสาวะได้โดยการทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น7.ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดลดการเกิดโรคเบาหวานและเร่งการเผาผลาญไขมัน มีสารสำคัญที่ช่วยสามารถปรับปรุงการตอบสนองต่ออินซูลิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หลังรับประทานอาหารและเร่งการเผาผลาญไขมัน มีสาระสำคัญ คือ เพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ สามารถดูดซับน้ำตาลและไขมัน ไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจึงส่งผลทำให้ช่วยลดความดันโลหิตได้ ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมคือวันละ 2 ช้อนชาหรือน้อยกว่า ด้วยการผสมกับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ แต่หากรับประทานชนิดเม็ด ขนาดที่แนะนำคือ 600-1,200 มิลลิกรัม (ปริมาณที่อย. อนุญาตให้รับประทาน/วัน) การรับประทานน้ำ Apple Cider Vinegar ก็อาจเป็นเรื่องยากของใครหลายๆ คนที่ไม่ชอบกลิ่น และรสเปรี้ยวจัด จึงทำให้ ACV ถูกนำมาประยุกต์ในวงการอาหารเสริมต่างๆ โดยทำออกมาในรูปแบบที่รับประทานง่าย โดยทำเป็นผงชงดื่มรสชาติต่างๆ แคปซูล เม็ดตอก หรือผสมกับสารสกัดจากสมุนไพรอื่นๆ เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพหรือเสริมสรรพคุณในด้านเฉพาะตัวของมัน เพื่อเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคหลายๆ ประเภท

ดื่มมาหนัก แต่ไม่อยากแฮงค์ต้องพกซองนี้ D’LeVer QQ Min

จบงานปาร์ตี้หรือช่วงเทศกาลทีไร เป็นต้อง เมาค้าง ทุกที แต่สำหรับนักปาร์ตี้แล้ว บรรยากาศในวงเหล้า เคล้าเสียงเพลง และสังคมหมู่เพื่อน คือ เสน่ห์อย่างหนึ่งของการสังสรรค์มากกว่ารสชาติของแอลกอฮอล์ขมๆ เสียอีก เมื่อความสนุกสนานเริ่มขึ้น แอลกอฮอล์จะช่วยเติมเต็มให้ค่ำคืน หอมหวนและอบอวลไปด้วยความสุขเพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง และคลายกล้ามเนื้อ เมื่อได้รับปริมาณเล็กน้อยจึงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แอลกอฮอล์ ส่งผลต่อร่างกายของเราอย่างไร ? แอลกอฮอล์มีชื่อทางเคมีว่า  Ethanol หรือ Ethyl Alcohol จัดเป็นสารกดประสาทชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มไปแล้ว ร่างกายเราจะทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดออกไป  แต่ผลกระทบอาจจะไม่ใช่แค่รอตับกำจัดแค่นั้น แต่ระหว่างที่รอ แอลกอฮอล์จะส่งผลมากมายต่อร่างกาย  เมื่อแอลกอฮอล์เดินทางไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เพื่อดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด ตับอ่อนจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา หากว่าเราปล่อยให้ท้องว่าง ระดับน้ำตาลในเลือดจะน้อยอยู่แล้วเป็นทุนเดิม หากเผลอดื่มแอลกฮอล์ไปทีละมากๆ จะยิ่งถูกฮอร์โมนอินซูลินออกมาขโมยน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง จึงเกิดอาการคล้ายน้ำตาลตก และจะเริ่มมีอาการมึนๆ งงๆ ตามมา และมึนเมาได้ไวกว่าคนที่รองท้องมาด้วยอาหาร หรือทานของแกล้มไปด้วย  เมาค้างหรืออาการแฮงค์ (Hang Over) คือกลุ่มอาการไม่พึงประสงค์จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โดยอาการเมาค้างจะเกิดขึ้นเมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงซึ่งตรงกับช่วงเช้าอีกวันหลังจากที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในคืนก่อน ทั้งนี้ ชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปริมาณที่ดื่มเข้าไปก็ส่งผลให้เกิดอาการเมาค้างที่แตกต่างกัน หากร่างกายได้รับปริมาณแอลกอฮอล์มาก ก็จะทำให้เกิดอาการเมาค้างมากขึ้นตามไปด้วย สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการเมาค้างคือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และเกิดอาการอักเสบในร่างกาย บางคนสามารถเกิดอาการเมาค้างได้แม้ดื่มไม่มาก ส่วนบางคนอาจต้องดื่มในปริมาณมากถึงจะเกิดอาการ โดยปริมาณแอลกอฮอล์ที่ได้รับเข้าไปนั้นส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย และทำให้เกิดอาการเมาค้างต่าง ๆ ดังนี้ 1.ผลิตน้ำปัสสาวะมาก เมื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้าไป แอลกอฮอล์จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตน้ำปัสสาวะมาก ทำให้ผู้ดื่มต้องปัสสาวะบ่อยกว่าปกติจนนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งมักปรากฏออกมาเป็นอาการกระหายน้ำ เวียนศีรษะ และมึนศีรษะ2.เกิดการอักเสบของร่างกาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางอย่างทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ และส่งผลต่อสารเคมีในสมองที่เรียกว่า สารสื่อประสาท ซึ่งทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ มีความอยากอาหารลดลง หรือรู้สึกเบื่อกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นปกติ3.ระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหารให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ย่อยอาหารได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ผู้ดื่มมักปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน4.ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ตัวสั่น อารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง รวมทั้งเกิดอาการชักขึ้นได้5.หลอดเลือดขยาย หากหลอดเลือดในร่างกายขยายออกอันเป็นผลจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกปวดศีรษะได้6.นอนหลับไม่เพียงพอ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ส่งผลต่อประสิทธิภาพการนอนหลับ เนื่องจากแอลกอฮอล์ส่งผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้ผู้ดื่มอาจนอนหลับไม่สนิทหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้เกิดอาการเพลีย เดินเซ และเหนื่อยล้า 1.ขิง มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการคลื่นไส้ ช่วยทำให้ฟื้นจากอาการปวดหัว และยังช่วยระบบขับถ่ายเอาแอลกอฮอล์ออกมาอีกด้วย เพียงแค่เตรียมน้ำขิงร้อนๆผสมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาว โดยนำน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ผสมกับน้ำร้อนแล้วคนให้เข้ากัน2.ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ไปเพิ่ม ALDH ช่วยกำจัดสารพิษที่เกิดจากแอลกอฮอล์, ลดระดับแอลกอฮอล์และสารพิษที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (Acetaldehyde) ในเลือดได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST, ALP) ได้อีกด้วย3.โกจิ เบอรี่ เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับ ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ ALDH ช่วยให้ตับขับสารพิษได้ดีขึ้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องตับจากการเกิดผังผืดที่ตับและตับแข็ง 4.แดนดิไลออน มีฤทธิ์ช่วยบำรุงตับ โดยกระตุ้นการสร้างน้ำดีที่ตับและเพิ่มการไหลน้ำดีไปยังถุงน้ำดี กระตุ้นการหดตัวและการคลายตัวของถุงน้ำดี ในขณะเดียวกันรากของแดนดิไลอ้อนมีสารโคลีนปริมาณสูง ส่งผลทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับและถุงน้ำดี ทำให้ภาวะโรคตับต่างๆ ดีขึ้น เช่น ท่อทางเดินน้ำดีอักเสบ, ตับอักเสบ, ดีซ่าน, ตับแข็ง5.โคลีน เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับ ช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปสะสมที่ตับและป้องกันการเกิดไขมันพอกตับ ฟื้นฟูการทำงานของตับ ข้อควรรู้หนึ่งอย่างหลังดื่มเสร็จ หากมีอาการปวดหัวอย่ารับประทานยาเพื่อบรรเทาโดยทันที เพราะร่างกายมีปริมาณแอลกอฮอล์สะสมอยู่มาก เมื่อยาเจอกับแอลกอฮอล์อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อตับได้ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากส่งผลกระทบต่อสมองแล้ว ยังผลต่อตับ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันสะสมที่ตับ รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้สารพิษที่ร่างกายได้รับมาสะสมในตับ หากดื่มบ่อยๆ อาจนำไปสู่ตับอักเสบ พังผืดที่ตับ ในที่สุด ก็จะกลายเป็นตับแข็งได้ หากไม่สามารถเลิกได้ ควรดื่มอย่างมีสติและพอประมาณ ไม่มากจนเกินไป นอกจากจะไม่ต้องเสียเวลาแก้เมาค้างแล้ว การเว้นวรรคให้ร่างกายได้พักผ่อนฟื้นฟูจะเป็นผลดีมากกว่า ที่สำคัญ หากเมาแล้วไม่ควรขับรถ ไม่ว่าจะดื่มมากหรือน้อยก็ตาม เพราะการขับรถทั้งที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในเลือด อาจทำให้ผลการตัดสินใจต่าง ๆ ลดลง และเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายด้วย สุขภาพที่ดี เรากำหนดได้เอง จากการดื่มอย่างมีสติและพอประมาณ

เลือกดื่มเกลือแร่ที่ใช่ ท้องเสีย VS ออกกำลังกาย ชดเชยน้ำให้ถูกวิธี

เกลือแร่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ควบคุมการไหลเวียนของน้ำ รักษาสมดุลกรด-ด่าง ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท เป็นต้นในชีวิตประจำวัน สามารถได้รับเกลือแร่จากอาหารต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ นม ไข่ เป็นต้น บางครั้งร่างกายก็อาจสูญเสียเกลือแร่ได้มากขึ้น เช่น จากการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย จากการอาเจียนหรือท้องเสีย เป็นต้น การเลือกดื่มเกลือแร่ทดแทนให้เหมาะสมกับสภาวะของร่างกายนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เกลือแร่คืออะไร ? “เกลือแร่” คือ แร่ธาตุที่ช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำและแร่ธาตุต่างๆ มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังงาน แร่ธาตุและน้ำในร่างกาย โดยในแต่ละวันร่างกายต้องการเกลือแร่ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเพื่อทำให้ร่างกายของเราทำงานได้อย่างเป็นปกติ  เกิดอะไรขึ้น…หากขาดสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ? การขาดสมดุลเกลือแร่สามารถพบได้ในคนที่สูญเสียน้ำในร่างกายมาก เช่น เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย อาเจียนหรือท้องเสีย เป็นต้น หากร่างกายเสียสมดุลเกลือแร่ในปริมาณมาก อาจมีอาการแสดงเพียงเล็กน้อย หรืออาจรุนแรงจนก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ตัวอย่างอาการแสดงต่าง ๆ ได้แก่ ไม่มีแรง ปากแห้ง ปากซีด ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อยผิดปกติ หรืออาจถึงขั้นหัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น การชดเชยการสูญเสียน้ำโดยการรับประทานเกลือแร่ทดแทน เพื่อป้องกันการเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เกลือแร่ทดแทน มีกี่ประเภท ? 1.เกลือแร่สำหรับออกกำลังกายการออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเสียเหงื่อ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ได้ โดยเฉพาะโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ การสูญเสียเกลือแร่เหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น เกลือแร่สำหรับออกกำลังกายจึงมีส่วนประกอบของเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมักมีปริมาณโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ สูง เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกาย2.เกลือแร่สำหรับดื่มตอนท้องเสียอาการท้องเสียมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ โดยเฉพาะโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ การสูญเสียเกลือแร่เหล่านี้อาจทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น เกลือแร่สำหรับดื่มตอนท้องเสียจึงมีส่วนประกอบของเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมักมีปริมาณโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์ สูง เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากอาการท้องเสีย เกลือแร่ทั้ง 2 ชนิดสามารถใช้ทดแทนกันได้หรือไม่ ? “ไม่แนะนำ” ให้ผู้ที่มีอาการท้องเสียดื่มเกลือแร่ทดแทนสำหรับการออกกำลังกาย เนื่องจากร่างกายจะสูญเสียน้ำและแร่ธาตุอย่างฉับพลันจากภาวะท้องเสียหรืออาเจียน ซึ่งควรได้รับการทดแทนในทันที แตกต่างจากการออกกำลังกายที่ร่างกายสูญเสียน้ำและน้ำตาลเป็นหลักและเสียแร่ธาตุในปริมาณที่น้อยมาก โดยเกลือแร่สำหรับผู้ออกกำลังกายจะมีปริมาณน้ำตาลที่มากกว่า หากผู้ป่วยท้องเสียดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกาย น้ำตาลที่มีปริมาณสูงในเครื่องดื่มจะดึงเอาน้ำเข้าสู่ทางเดินอาหารเพิ่มมากขึ้นทำให้ลำไส้บีบตัวและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียมากขึ้นอีกในเวลาต่อมา*แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เภสัชกรในการเลือกรับประทานเกลือแร่ทดแทนที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับภาวะร่างกายต่าง ๆ ได้

Office Syndrome โรคยอดฮิตที่เกิดได้กับทุกคน

✓ Checklist Office Syndrome คุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่?     1.นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน     2.ระหว่างทำงาน จะรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ บ่า ไหล่ สะบัก และหลัง     3.มีก้อนกล้ามเนื้อเกิดขึ้น     4.เมื่อกดไปจุดที่เจ็บ จะมีอาการร้าวไปตามกล้ามเนื้อ     5.มีการตึงของกล้ามเนื้อ เมื่อหันหรือยกแขนจะทำได้ลำบาก     6.เมื่อเกิดอาการปวดต้องกินยาแก้ปวด หรือไปนวดเพื่อให้หายปวด รู้หรือไม่อาการออฟฟิศซินโดรมไม่ได้เป็นแค่ในกลุ่มคนทำงานประจำ แต่สามารถเป็นได้ทั้งนักเรียน นักศึกษา นักกีฬา หรืออาชีพอื่น ๆ ที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิม ๆ ก็สามารถทำให้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้  มาทำความรู้จักกับ ‘โรคออฟฟิศซินโดรม’ ว่าเกิดจากอะไร เป็นแล้วมีอาการผิดปกติอย่างไร และสามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีใดบ้าง ตามไปดูเรื่องราวของโรคสุดฮอตฮิตนี้กันเลย ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) จัดอยู่ในกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) ซึ่งมักเกิดจากการที่ต้องใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำไปมา เป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง โดยผลของมันจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ ตลอดจนปวดเมื่อยตามอวัยวะส่วนอื่น ๆ ไล่ลงมาตั้งแต่คอ หลัง บ่า ไหล่ แขน หรือแม้กระทั่งบริเวณข้อมือก็ไม่เว้น ซึ่งหากผู้ที่พบว่ามีอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม แต่ไม่ทำการรักษาตัวในทันทีที่พบ อาการอาจทรุดหนักลงและลุกลามจนผู้ป่วยมีอาการปวดชนิดเรื้อรังก็เป็นได้ สาเหตุของการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม โดยส่วนมากอาการปวดกล้ามเนื้อจากโรคออฟฟิศซินโดรม มักพบได้บ่อยในคนทำงานออฟฟิศเป็นหลัก นั่นเพราะพฤติกรรมการทำงานที่ต้องนั่นจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจนลืมตัว โดยแทบจะไม่มีการขยับตัวปรับเปลี่ยนอิริยาบถใด ๆ หรือลุกขึ้นเดินไปไหนมาไหนเลย ซึ่งนี่เป็นผลทำให้กล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ เกิดอาการยึดเกร็งและอักเสบในเวลาต่อมา อาการแบบไหน เสี่ยง! “ออฟฟิศซินโดรม” ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้ แก้อาการออฟฟิศซินโดรมแบบเร่งด่วน !! การยืดกล้ามเนื้อในขณะกำลังทำงานเป็นระยะ ๆ แบ่งเป็นการยืดเพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนบน และกล้ามเนื้อส่วนล่าง โดยมักจะเน้นกล้ามเนื้อที่เกิดอาการปวดบ่อย ๆ ในกลุ่มคนที่ทำงานออฟฟิศ การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือถ้าไม่มีเวลาสามารถใช้สเปรย์แก้ปวดใช้บรรเทาอาการได้ รับประทานยาแก้ปวด การป้องกันการเกิดออฟฟิศซินโดรม ออกกำลังกายด้วยท่าที่เหมาะสมกับอาการ เช่น การยืดกล้ามเนื้อให้เกิดความยืดหยุ่น การออกกำลังเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยต้องอาศัยความใส่ใจและความสม่ำเสมอ ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น ปรับระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ ให้สามารถนั่งทำงานในท่าที่สบาย ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานกล้ามเนื้อให้เหมาะสม เช่น ในระหว่างทำงานควรมีการยืดเหยียดหรือเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างน้อยทุก ๆ 1 ชั่วโมง แนวทางการรักษาออฟฟิศซินโดรม สามารถเริ่มได้ที่ตัวเราเอง ด้วยการปรับพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่ ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พยายามพักผ่อน ยืดเหยียดบริหารกล้ามเนื้อบ้าง และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน เสาะหาวิธีลดความเครียดหรือลดการทำงานหนัก ซึ่งจะเป็นแนวทางการป้องกันที่ยั่งยืนที่สุด

เลซิติน (Lecithin) คุณประโยชน์หลากหลายดีต่อสุขภาพ

เลซิติน (Lecithin) เป็นไขมันชนิดฟอสโฟไลปิค (Phospholipid) ที่มีความจำเป็นต่อเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการเข้าออกของสารอาหารจะมีลักษณะแข็งและขาดความยืดหยุ่นถ้าไม่มีเลซิติน นอกจากนี้ยังพบว่าเลซิตินเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ และเซลล์ประสาท ในร่างกายมนุษย์และยังพบตามแหล่งธรรมชาติทั้งพืชและสัตว์โดยจะพบมากในไข่แดงสมองหัวใจถั่วเหลืองเมล็ดทานตะวันถั่วลิสงจมูกข้าวสาลีเป็นต้น ส่วนใหญ่อาหารเหล่านี้มักจะให้โคเลสเตอรอลสูงด้วย เลซิตินเองมีคุณสมบัติเป็น emulsifier หรือสารที่ทำให้น้ำกับน้ำมันเข้ากันได้ ดังนั้นจะพบว่าได้มีการนำเลซิตินมาใช้ในการควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงบำรุงสมองกันอย่างแพร่หลายนั้นเอง เลซิตินพบได้มากในถั่วเหลือง แต่แหล่งอาหารที่ให้เลซิตินยังมีอีกมากมาย อาทิ ไข่แดง ตับ ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อสัตว์ ปลา บริวเวอร์ยีสต์ และพืชบางชนิด ทั้งนี้อาจจะรวมถึงผลิตภัณฑ์ Multi-Vitamin ที่มีเลซิตินผสมอยู่ด้วย เลซิตินที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่สองชนิด คือ แกรนูล และแคปซูล ชนิดแกรนูลนิยมรับประทาน โดยผสมกับเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ เช่น นม นมเปรี้ยว น้ำผลไม้ ฯลฯ และยังนิยมให้ผสมหรือโปรยบนอาหารประเภทต่าง ๆ อีกด้วย 1.ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอลสูงในเลือดป้องกันโรคสมองและหัวใจขาดเลือด เลซิตินทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายไขมันในหลอดเลือดทำให้ไขมันแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆไม่จับกันเป็นก้อน จนไปอุดตันผนังหลอดเลือด และไหลเวียนไปกับกระแสเลือด เลซิตินจึงเป็นสารอาหารที่สามารถป้องกันการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหลอดเลือดอุดตัน รวมถึงสมองและหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเพิ่มการเผาผลาญ และการขับถ่ายไขมันคอเลสเตอรอลผ่านทางอุจจาระ อีกทั้งยังช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลรวมในเลือด (Total Cholesterol) มีการศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองและผู้มีภาวะระดับโคเลสเตอรอลสูงพบว่า เลซิตินจะลดการดูดซึมโคเลสเตอรอล สามารถลดระดับไขมันชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ อีกทั้งช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) ได้อีกด้วย จากคุณสมบัติดังกล่าวจึงทำให้ลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด อันนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือหัวใจวายเฉียบพลัน 2.ช่วยการทำงานของตับ ในสารอาหารเลซิตินจะมีสารสำคัญ คือ ฟอสฟาทิดิล โคลีน (Phosphatidyl choline) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นตับให้เผาผลาญ และทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบำรุงเซลล์ตับ ป้องกันตับอักเสบ ป้องกันตับแข็ง พร้อมช่วยป้องกันการเกิดความผิดปกติจากสารเคมีและสารพิษต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ และยา ทั้งนี้ได้มีการศึกษาในลิงบาบูน พบว่าเลซิตินสามารถป้องกันการเกิดโรคตับแข็งเนื่องจากการรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยเลซิตินจะไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์คอลลาจีเนสในตับ จึงลดการสร้างผังผืดในตับ ลดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการพัฒนาไปสู่โรคตับแข็ง ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันบริเวณตับ จึงไม่เกิดอนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์และป้องกันภาวะจากการอักเสบของตับ 3.ลดภาวะไขมันพอกตับ โคลีน (Choline) คืออีกหนึ่งสารสำคัญที่อยู่ในเลซิติน ทำหน้าที่คอยเร่งการทำงานของระบบเผาผลาญไขมันที่ตับ ให้ไขมันถูกดึงไปใช้เป็นพลังงานมากขึ้น ไม่เกิดการสะสม และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลที่เป็นสาเหตุในการเกิดไขมันพอกตับ  4.ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดีมีสาเหตุมาจาก ในน้ำดีมีปริมาณของไขมันโคเลสเตอรอลสูงจนเกินไป เลซิตินมีคุณสมบัติเป็นตัวช่วยเพิ่มความสามารถในการทำละลายของน้ำดี ทำให้สารแขวนลอยในน้ำดีไม่จับตัวเป็นก้อนจนกลายเป็นนิ่ว เพิ่มการหลั่งและการไหลเวียนของน้ำดี ป้องกันการอุดตันที่ท่อน้ำดี และลดค่าดัชนีไขมันอิ่มตัว 5.ช่วยการย่อยอาหารลดน้ำหนัก เลซิตินมีคุณสมบัติในการช่วยละลายไขมัน วิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค จึงช่วยลดการสะสมของไขมัน และช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น 6.บำรุงสมองเสริมความจำ ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ เสริมสร้างความจำ และลดอาการอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากโครงสร้างของเลซิติน มีสารประกอบที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ โคลีน (Choline) ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญของสมอง ที่ชื่อว่า สารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ดังนั้นหากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอก็จะช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้ ทางการแพทย์จึงมีการนำเลซิตินมาใช้ในการบำบัดโรคทางสมองต่างๆในปัจจุบัน เช่น โรคพาร์คินสัน และโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์ประสาทขาดสารอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) หรือในคนชราที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม โดยพบว่าผู้สูงอายุที่มีภาวะความจำเสื่อมบางรายจะมีอาการดีขึ้น เมื่อรับประทานเลซิตินวันละ 25 กรัม ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้นพบว่า เมื่อได้รับโคลีนเป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ หรือการให้โคลีนร่วมกับยาที่ใช้รักษา จะช่วยพัฒนาความสามารถที่ต้องใช้ความจำเพิ่มขึ้นได้ การเลือกกินเลซิตินก็เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเลซิตินที่ดีนั้น จะต้องเป็นเลซิตินบริสุทธิ์ สกัดจากถั่วเหลือง หรือพบจากแหล่งสะสมอื่นตามธรรมชาติ เช่น ไข่แดง เมล็ดทานตะวัน ตับ และบริเวอร์ยีสต์ (ยีสต์ที่เพาะไว้เพื่อใช้เป็นอาหารเสริมโดยเฉพาะ) ที่ไม่ผ่านการฟอกสี ผ่านความร้อน เช่น ทอด ย่าง ต้ม หรือสารอันตรายต่อตับ ที่สำคัญหากต้องการได้รับเลซิตินที่เพียงพอต่อการบำรุงร่างกาย สมอง หรือตับ แนะนำให้กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติม และควรเลือกจากแหล่งที่ผลิตภายใต้มาตรฐานการผลิตยาระดับสากลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก GMP ของประเทศไทย เพื่อความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยต่อร่างกายในระยะยาว ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com/article_detail/2000/th/รู้หรือไม่? _ไม่อยากสมองเสื่อม…ต้องเสริมด้วย_ “เลซิตินhttps://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1280/lecithin-เลซิติน

คุณแม่มือใหม่ ท่อน้ำนมอุดตัน ทำอย่างไรดี ?

เมื่อมีบุตรแล้วแม่ๆหลายคนอาจจะประสบปัญหา..ท่อน้ำนมอุดตัน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอด ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่น้ำนมบริเวณที่เกิดการอุดตันนั้นข้นขึ้นมาก จนอุดตันคั่งค้างอยู่ในท่อน้ำนมท่อใดท่อหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้น้ำนมไม่ไหล หรือ ไหลช้า จนอาจก่อให้เกิดอาการน้ำนมคั่งค้างอยู่ภายในเต้านม ส่งผลให้เต้านมบางบริเวณมีลักษณะแข็ง เป็นแผ่นหนา หรือเป็นก้อนอยู่ภายในเต้านม โดยไม่ได้เป็นทั่วทั้งเต้านม ผิวหนังที่บริเวณเหนือก้อน กดเจ็บ และอาจจะบวมแดงได้แต่จะไม่มีไข้ควบคู่ ลักษณะหัวนมและลานหัวนมผิดรูป บางครั้งอาจมีเส้นเลือดที่ผิวหนังของเต้านมปูด และอาจพบจุดสีขาวที่บริเวณหัวนม (White dot)  จะรู้ได้อย่างไรว่าท่อน้ำนมอุดตัน ? เมื่อคลำดูจะพบว่าว่ามีก้อนแข็งเป็นไตบริเวณเต้านม เมื่อกดลงไปจะรู้สึกเจ็บและอาจมีอาการบวมแดง บางครั้งยังอาจก่อให้เกิดจุดขาวที่หัวนม (white dot) ทั้งยังทำให้คุณแม่ปวดระบมเต้านมอีกด้วย นอกจากนี้คุณแม่หลายๆท่านจะพบว่า น้ำนมไหลน้อยลงเนื่องจากก้อนอุดตันไปขวางทางเดินของน้ำนม  วิธีรับมือกับท่อน้ำนมอุดตัน 1.ให้นมลูกบ่อยๆอย่างน้อย 8-12 ครั้ง / วัน และดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที และคุณแม่มือใหม่ควรให้ลูกกินนมแม่บ่อยตามที่ลูกต้องการ หิวเมื่อไรก็ให้ดูด เพราะนมแม่นั้นย่อยง่าย ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด คุณแม่ควรให้ลูกดูดนมบ่อยๆ อาจจะประมาณทุก 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้น้ำนมมา หลังจากนี้ก็ให้ลูกดูดตามต้องการ โดยไม่ต้องตั้งเวลา แต่ถ้ารู้สึกคัดเต้านม ต้องให้ลูกดูดนมออกทันที การให้ลูกกินนมแม่บ่อยจะช่วยระบายน้ำนมออกจากเต้า และให้เต้านมสร้างน้ำนมใหม่เรื่อยๆ ไม่เช่นนั้น คุณแม่จะเจ็บเพราะคัดเต้านม และทำให้เต้านมสร้างน้ำนมได้น้อยลงด้วย  2.ปั๊มนมให้สม่ำเสมอ คุณแม่ควรปั๊มนมให้ได้ประมาณ 8 – 10 ครั้งต่อวัน เป็นจำนวนเท่ากับจำนวนครั้งที่ลูกดูดนมในแต่ละวัน 3.จัดท่าดูดนมลูกให้ถูกวิธี โดยท่าดูดนมลูกที่ถูกต้องมี ดังนี้ ปากลูกต้องเปิดกว้าง เพื่ออมหัวนมให้ลึกที่สุดจนมิดลานนม ถ้าลานนมกว้างก็ให้อมให้มากที่สุด คางแนบเต้า ปลายจมูกชิดหรือแตะเต้านม และริมฝีปากบน-ล่างบานออก ลูกดูดแรงโดยใช้ลิ้นรีดน้ำนมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ได้ยินเสียงกลืนนมเป็นจังหวะ ถ้าลูกไม่ค่อยดูดหรือดูดช้าลง ให้บีบเต้านมช่วยเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมเข้าปากลูก จัดท่าให้คางลูกอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็นก้อนเน้นให้ดูดตรงเต้าที่มีก้อนแข็งก่อน 4.พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด หากคุณแม่มีภาวระเครียดจะทำให้การหลั่งฮอร์โมน Oxytocin ที่ทำให้น้ำนมไหลลดลง 5.นวดกระตุ้น เพื่อให้น้ำนมไหลลดอาการคัดเต้า แก้ปัญหาปวดคัดตึง 6.ประคบเต้านมด้วยผ้าอุ่น 3-5 นาที ก่อนให้ลูกดูดนม หรือนวดคลึงเต้านมขณะอาบน้ำอุ่นด้วยฝักบัว 7.ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Lecithin (เลซิติน) จะไปช่วยลดความหนืดของน้ำนมทำให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้น ป้องกันในเรื่องของท่อน้ำนมอุดตัน 7 สุดยอดอาหารกระตุ้นการสร้างน้ำนมแม่และเมนูแนะนำ 1.หัวปลี : มีสาร lactagogum จะไปกระตุ้นการสร้างฮอร์โมน oxcytocin and prolactin ซึ่งเป็นอฮร์โมนที่สำคัญในการสร้างน้ำนมแม่ และฮอร์โมน 2 ตัวนี้จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น เมื่อได้รับการดูดจากลูกน้อย เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลีกุ้งสด ทอดมันหัวปลี 2.ขิง : สรรพคุณทางสมุนไพรของขิง เป็นยาร้อน เพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้น้ำนมไหลดี เชื่อว่าเมื่อคุณแม่กินเข้าไป สรรพคุณที่ดีของขิงจะผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูก เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ไก่ผัดขิง น้ำขิง ยําขิง ยําปลาทูใส่ขิง มันหรือถั่วเขียวต้มน้ำขิง ไข่หวานน้ำขิงต้มอุ่นๆ โจ๊กใส่ขิง 3.ใบกระเพรา : มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ใยอาหารสูง มีรสร้อน บำรุงธาตุไฟ ขับลม เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หวัด ถ้าลูกได้รับจากนมแม่ ก็จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ด้วย เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ผัดกระเพรา แกงป่า แกงเลียงใบกระเพรา 4.กุยช่าย : มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี ช่วยขับน้ำนม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมเเมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ดอกกุ้ยช่ายผัดตับ ขนมกุ้ยช่าย ใบสดๆเป็นเครื่องเคียงทานคู่กับผัดไทย ผัดดอกกุยช่ายกับเนื้อสัตว์ หรือกินใบสดแกล้มกับอาหาร 5.ใบแมงลัก : มีรสร้อน มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี และวิตามินซี ช่วยบำรุงเลือด เสริมสร้างกระดูกและฟันเมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ใส่แกงเลียง แกงป่า กินสดแกล้มกับขนมจีน 6.มะละกอ : ผลไม้ที่หาทานได้ง่าย มีวิตามิน เอ บี ซี และใยอาหาร ซึ่งช่วยบำรุงสายตา เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ระบบขับถ่ายดี เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ ทานผลสุก แกงส้มมะละกอ มะละกอผัดไข่ 7.ฟักทอง : ผักเนื้อเหลือง อุดมไปด้วยวิตมิน เอ บี ซี ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน ทำให้ผิวพรรณสดใสเมนูอาหารเพิ่มน้ำนมแม่แนะนำ ได้แก่ นึ่ง แกงบวด ผัดใส่ไข่ ใส่ไข่เจียว แกงเลียง อาการท่อน้ำนมอุดตัน หากปล่อยทิ้งไว้นาน และไม่ได้รับการรักษา สามารถพัฒนาไปเป็นเต้านมอักเสบได้ แต่ถ้าคุณแม่ดูแลตัวเองด้วยการทานอาหารที่ดี เสริมด้วยการทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Lecithin (เลซิติน) พร้อมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด ก็จะสามารถช่วยลดอาการอุดตันท่อน้ำนมในเบื้องต้นได้ และถ้าคุณแม่ท่านใดมีความกังวลในเรื่องท่อน้ำนมอุดตัน สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจวินิจฉัย และให้คำแนะนำเพิ่มเติม

Zinc แร่ธาตุตัวจิ๋ว สำหรับทุกคนในครอบครัว

แร่ธาตุสังกะสีหรือซิงค์ (Zinc) เป็นแร่ธาตุที่มีมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายส่วนช่วยในการควบคุมให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีส่วนช่วยในการทำงานของเอ็นไซม์ต่างๆของร่างกายถึง 300 ชนิด ซึ่งรวมถึงกระบวนการย่อยและเผาผลาญสารอาหารต่างๆ และมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีนที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย กระบวนการสังเคราะห์สารพันธุกรรม ระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท ฮอร์โมน รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน เช่นการสร้างภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโต การทำงานของฮอร์โมน จึงกล่าวได้ว่าแร่ธาตุชนิดนี้ช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่ป่วยบ่อย ช่วยเรื่องการซ่อมแซมบาดแผล ทำให้แผลหาดเร็วขึ้น ช่วยเรื่องการเผาผลาญ ช่วยเรื่องการพัฒนาและการเจริญเติบโตของเซลล์ รวมไปถึงช่วยเสริมเรื่องการรับรู้รสและกลิ่นอีกด้วย โดยปกติแล้วร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้าง Zinc (ซิงค์) ขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารที่มี Zinc (ซิงค์) เป็นส่วนประกอบโดยเฉลี่ยในปริมาณ 15 mg ต่อวัน ซึ่งแหล่งอาหารที่มีปริมาณ Zinc (ซิงค์) สูงได้แก่ อาหารทะเล หอยนางรม เมล็ดทานตะวัน เห็ด เนื้อหมู ไข่ ข้าวกล้อง ถั่วลิสง ปลา จมูกข้าวสาลี แป้งงา เมล็ดฝักทอง ธัญพืช เครื่องเทศ ผักโขม เป็นต้น ซิงค์ เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่ต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อย หากเราสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ร่างกายของเรามักจะไม่ขาดแร่ธาตุสังกะสีนี้ แต่อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของเราได้รับซิงค์ไม่เพียงพอ เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่เป็นประจำก็อาจทำให้ร่างกายขาดซิงค์ได้ การใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างก็อาจส่งผลให้ร่างกายขาดซิงค์ได้เช่นกัน เช่น ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ หรือผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก อาจรับประทานอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้ขาดซิงก์ได้ Zinc ประโยชน์ครบครัน ที่มีต่อสุขภาพร่างกาย 1.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากร่างกายของเราจำเป็นต้องใช้แร่สังกะสีในการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า T-cells ซึ่งเป็นเซลล์ที่ช่วยในการควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ Zinc (ซิงค์) ยังมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการเพิ่มขึ้นของปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกาย (Antiviral) หยุดการเจริญของเชื้อ รวมทั้งการเกาะจับของเชื้อในร่างกาย Zinc (ซิงค์) ยังมีฤทธิ์ต้านอักเสบ จึงช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ เช่นโรคปอดอักเสบ เป็นต้น เมื่อเป็นหวัด Zinc (ซิงค์) จะลดความรุนแรงของอาการ ลดระยะเวลาการเป็นหวัด และหายจากโรคหวัดเร็วขึ้น และ หากร่างกายได้รับ Zinc (ซิงค์) ร่วมกับวิตามินซีเป็นประจำทุกวันยังช่วยป้องกันหวัดได้ 2.ช่วยรักษาผมร่วง บำรุงผม และเล็บให้แข็งแรง เป็นแร่ธาตุที่มีช่วยการเจริญเติบโตของเส้นผมและเล็บ โดยมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ซ่อมแซมผมและเล็บที่อ่อนแอให้เจริญเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น และยังช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันบนหนังศีรษะจึงลดโอกาสการหลุดร่วงของเส้นผมได้ 3.ช่วยฟื้นฟูบาดแผลให้หายเร็วขึ้น มีส่วนสำคัญในการรักษาความสมบูรณ์และโครงสร้างของผิวหนัง ซึ่งพบว่าในระยะที่ร่างกายต้องการสร้างเซลล์ใหม่หลังผ่าตัดหรือเป็นแผลต่างๆจำเป็นต้องมีขบวนการนี้มากขึ้นเสมอ Zinc (ซิงค์) ช่วยให้ร่างกายมีกระบวนการซ่อมแซม หรือสมานแผลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น  4.ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชายช่วยเพิ่มจำนวนของอสุจิ มีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของระบบสืบพันธุ์  ปรับสมดุลฮอร์โมนเพศชาย จากการศึกษา พบว่าการรับประทานแร่ธาตุสังกะสีวันละ 24 มิลลิกรัมต่อเนื่อง 45-50 วันช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายรวมถึงจำนวนและการเคลื่อนไหวของอสุจิได้อย่างชัดเจนจึงช่วยเพิ่มโอกาสการมีบุตรสำหรับผู้ชายที่มีบุตรยากได้ 5.ช่วยรักษาสิวและสมานแผล รักษาสมดุลของปริมาณไขมัน ตามรูขุมขนที่ผิวหนัง ควบคุมปัญหาการเกิดสิวอุดตันรูขุมขนจากไขมันมากเกินไป และลดอาการอักเสบ ป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ให้กับผิว ส่งผลให้เซลล์ผิวที่ถูกสร้างขึ้นใหม่มีสุขภาพดี และยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวด้วย   6.ช่วยฟื้นฟูการรับรสชาติและรับกลิ่นได้ดีขึ้น สำหรับผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง รับประทานอาหารแบบเดิมๆ และรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้หลายคนมีความเสี่ยงที่ร่างกายจะมีภาวะขาดแร่ธาตุสังกะสีได้ อีกทั้งยังส่งผลต่อต่อสุขภาพ เช่น หน้ามืด อ่อนเพลีย น้ำหนักลดลง และภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยบ่อย ดังนั้นการเสริมซิงค์จะช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุสังกะสีให้ร่างกาย และฟื้นฟูการรับรสชาติและรับกลิ่นได้ดีขึ้น จึงสามารถช่วยแก้อาการเบื่ออาหารและสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น  ในส่วนของผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 ในบางรายอาจมีอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสหรือเรียกว่าอาการ Long COVID ซึ่งเกิดจากเชื้อโควิดที่แพร่กระจายเข้าไปที่เซลล์ประสาทการดมกลิ่นในโพรงจมูก ทำให้เซลล์ประสาทรับกลิ่นทำงานผิดปกติ ซึ่งการเสริมซิงค์ก็สามารถช่วยฟื้นฟูการรับรสและการได้กลิ่นให้กลับมาเป็นปกติ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย หากมีภาวะขาด Zinc? การที่ร่างกายมีภาวะขาดแร่ธาตุสังกะสีหรือซิงค์ (Zinc) เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆกับร่างกาย ดังนี้ 1.การรับรู้รสและกลิ่น ลดลง จากอุบัติการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 พบว่าผู้ติดเชื้อ ที่มีอาการการรับรู้รสและกลิ่นหายไป สาเหตุหนึ่งมาจากการที่ร่างกายขาดแร่ธาตุสังกะสี 2.ภูมิคุ้มกันลดลง เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อโรค หรือเชื้อไวรัสง่ายขึ้น จึงทำให้ป่วยบ่อย 3.การเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆลดลง ผมร่วงมากกว่าปกติ มีปัญหาผมแตกปลาย , เล็บเปราะหรือแตกหักง่าย เล็บเป็นจุดสีขาว , ผิวหนังแห้งและอักเสบ , บาดแผลหายช้า , สมรรถภาพทางเพศลดลง , การเจริญเติบโตลดลง เด็กมีโอกาสเตี้ย แคระแกรน ถึงแม้ร่างกายจะต้องการซิงค์ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ซิงค์ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไม่ได้เช่นกัน และการรับประทานอาหารให้หลากหลายเป็นประจำอาจช่วยเพิ่ม Zinc ให้กับร่างกายอย่างเพียงพอ แต่การได้รับ Zinc เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงโดยร่วมได้ ดังนั้นนอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์