ป่วยบ่อยงอแงง่าย อาจเป็นสัญญาณบอกว่าร่างกายขาดซิงค์ !

พ่อๆแม่ๆหลายคนตั้งใจดูแลลูกเต็มที่ แต่บางครั้ง…สิ่งที่เราคิดว่าดูแลดีแล้ว อาจยังไม่พอ เคยสังเกตไหมว่า… นี่อาจไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทั้งหมดนี้อาจเป็นสัญญาณของ “ภาวะขาดซิงค์” ที่อาจมองข้าม ซิงค์ (Zinc) แร่ธาตุเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้ามกลับเป็นกุญแจสำคัญที่เด็กต้องการเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและเติบโตอย่างแข็งแรง ซิงค์ฮีโร่ตัวจริง..ที่ทำงานเงียบ ๆ ในร่างกายของลูก ช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงพอจะสู้กับเชื้อโรค ส่งเสริมพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ และยังช่วยให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือน “วัคซีนทางธรรมชาติ” ที่ช่วยปกป้องลูกจากโรคและความอ่อนแอ แม้ซิงค์จะมีอยู่ในอาหารทั่วไป แต่ในยุคนี้ที่อาหารผ่านการแปรรูปมากขึ้น หรือแม้แต่เด็กที่ไม่ยอมกินผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ที่หลากหลาย ก็ทำให้ร่างกายไม่ได้รับซิงค์อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ การเจ็บป่วยเรื้อรัง ความเครียด และมลภาวะก็เป็นตัวเร่งให้ซิงค์ในร่างกายลดลงเร็วขึ้น ซิงค์คุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความต้องการของเด็ก กินง่าย รสชาติดี และดูดซึมได้เต็มที่ ไม่ใช่แค่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ยังช่วยให้ลูกของคุณเติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งกายและใจ “เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นที่ความเข้าใจ และดีเฮกซีคือความใส่ใจที่คุณให้ลูกได้ทุกวัน”
5 ท่ายืดกล้ามเนื้อลดความเครียดใน 3 นาที

เครียดนักใช่มั้ย ? ทำงานจนบ่าเกร็ง หัวตึง หลังตึง ลองหยุดแค่ 3 นาที ยืดเส้น ยืดใจ ให้ร่างกายได้ถอนหายใจสักที ไม่ต้องมีเสื่อ ไม่ต้องเปลี่ยนชุด แค่ลุกขึ้นมาขยับเบา ๆ ก็ช่วยให้ใจสงบลงได้ทันที เพราะความเครียด ไม่ได้อยู่แค่ในสมอง เวลาเครียด ร่างกายจะตึงโดยอัตโนมัติ บ่าไหล่เกร็ง หลังตึง หน้าผากขมวด ขากรรไกรแน่น หายใจตื้น การยืดกล้ามเนื้อเบาๆจะช่วยปลดล็อกร่างกาย ส่งสัญญาณไปยังสมองว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องตึงอีกต่อไป ถ้าพร้อมแล้ว… ลุกขึ้นมายืดพร้อมกันเลย! ท่าที่ 1: “ยืดอก–หายใจลึก”คลายตึงช่วงอก–บ่า–หน้าอก ลดความเครียดรวดเร็ว ท่านี้ช่วยเปิดหน้าอก และลดการหดเกร็งจากความเครียดได้ดีมาก ท่าที่ 2: “ยืดคอ 2 ด้าน” คลายกล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่ อย่ากดแรง แค่เอียงให้รู้สึกตึงเล็กน้อยก็พอ ท่านี้เหมาะกับคนที่นั่งทำงานหน้าจอทั้งวัน ท่าที่ 3: “ก้มตัวแตะปลายเท้า” คลายกล้ามเนื้อหลัง–สะโพก–ขา / กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ท่านี้ช่วยลดแรงตึงจากหลังลงล่าง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองเบา ๆ เหมาะมากเวลาเหนื่อยจากงาน ท่าที่ 4: “หมุนหัวไหล่ ปลดล็อกความตึง” เบา แต่ว่าได้ผล ใช้เวลาน้อยแต่ช่วยให้สบายตัวขึ้นทันที ท่านี้ช่วยเตือนตัวเองให้กลับมาผ่อนคลาย โดยเฉพาะช่วงทำงานติดหน้าจอหลายชั่วโมง ท่าที่ 5: “ยืดแขนข้างลำตัว” คลายความตึงที่ค้างในแขน–หลัง–สีข้าง ท่านี้จะช่วยเปิดกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ที่มักเกร็งโดยไม่รู้ตัวเมื่อเครียด ความเครียดไม่ใช่แค่ในหัว แต่มันเก็บในกล้ามเนื้อ และลมหายใจของเราด้วย แค่หยุดยืดเส้นวันละนิดร่างกายก็จะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเครียดตลอดเวลา
รู้จักโอเมก้า-3 ไขมันดีที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้

ในยุคที่คนให้ความสำคัญกับ “การดูแลสุขภาพเชิงลึก” มากกว่าการรักษาเพียงปลายเหตุ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญที่คนรุ่นใหม่เลือกใช้ แต่คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ “เราควรเริ่มจากอะไร?” และ “ปลอดภัยจริงไหม?” หนึ่งในคำตอบที่วงการแพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับมากที่สุด คือ “โอเมก้า-3” โดยเฉพาะในรูปแบบของ Fish Oil (น้ำมันปลา) ซึ่งไม่ใช่แค่กระแสนิยม แต่คือสารอาหารที่วิจัยมาแล้วนับพันชิ้นว่าเกี่ยวข้องกับ การทำงานของหัวใจสมองระบบภูมิคุ้มกันและการลดการอักเสบภายในร่างกาย ทำความรู้จัก “โอเมก้า-3” ให้ลึกกว่าเดิม โอเมก้า-3 คือกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acids) ที่ร่างกาย จำเป็นต้องใช้ แต่ ไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ซึ่งโอเมก้า-3 หลัก ๆ ที่สำคัญมีอยู่ 3 ชนิด คือ ร่างกายสามารถแปลง ALA เป็น EPA และ DHA ได้บ้าง แต่ในสัดส่วนที่น้อยมาก (น้อยกว่า 10%) ดังนั้นการบริโภค EPA และ DHA จากปลาหรืออาหารเสริมจึงจำเป็นอย่างยิ่ง 1. หัวใจและหลอดเลือด : เพราะโรคหัวใจไม่ใช่เรื่องของ “ผู้สูงอายุ” เท่านั้น จากสถิติของกรมควบคุมโรค โรคหัวใจยังคงเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทย และเริ่มพบในคนอายุน้อยลงทุกปีสาเหตุหลักมาจาก พฤติกรรมการกินการใช้ชีวิตและภาวะไขมันในเลือดสูง โอเมก้า-3 มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการดูแลระบบหัวใจ ช่วยลดระดับ ไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีในเลือด เพิ่มระดับ HDL (ไขมันดี) และลด LDL (ไขมันเลว) ลดความดันโลหิต ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และลดการอักเสบของผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคหัวใจ 2. สมองและความจำ : ไขมันดีที่สมองขาดไม่ได้ รู้ไหมว่า สมองของมนุษย์ประกอบด้วยไขมันมากถึง 60% และ DHA คือไขมันตัวสำคัญที่มีอยู่มากในเนื้อเยื่อสมอง โดยเฉพาะในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ และการควบคุมอารมณ์ การขาด DHA จึงมีผลโดยตรงต่อสมรรถภาพทางสมอง และยังสัมพันธ์กับโรคต่าง ๆ เช่น สมาธิสั้นในเด็ก (ADHD) อัลไซเมอร์ ภาวะซึมเศร้า ความผิดปกติของอารมณ์ในผู้ใหญ่ ในทางกลับกัน การเสริมโอเมก้า-3 เป็นประจำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำ ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า ทำให้โฟกัสงานได้ดีขึ้น และชะลอการเสื่อมของสมองในระยะยาว 3. การอักเสบเรื้อรัง : ศัตรูเงียบของร่างกายที่หลายคนมองข้าม หลายโรคที่เราพบในชีวิตประจำวัน เช่น ปวดข้อ ปวดเข่า โรคผิวหนังเรื้อรัง ลำไส้แปรปรวน (IBS) ภูมิแพ้ หรือแม้แต่โรคอ้วน ล้วนมีรากฐานจากสิ่งที่เรียกว่า “การอักเสบเรื้อรัง” ซึ่งไม่ได้แสดงอาการทันที แต่ค่อย ๆ ทำลายระบบภายในอย่างต่อเนื่อง โอเมก้า-3 มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเข้าไปลดระดับสารก่อการอักเสบในร่างกาย เช่น Cytokines และ Prostaglandins ทำให้เนื้อเยื่อกลับมาอยู่ในสภาวะสมดุล 4. ผิวหนังและความชุ่มชื้น : ความงามจากภายใน หลายคนไม่รู้ว่าโอเมก้า-3 มีผลต่อผิวหนังเช่นเดียวกับหัวใจและสมอง ช่วยในเรื่องลดการอักเสบของผิว เช่น ผื่น แพ้ แดง ช่วยให้ผิวไม่แห้งลอกง่าย เพิ่มความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ และชะลอการเกิดริ้วรอยจากภายใน 5. ดวงตาและการมองเห็น : ลดอาการล้าตาจากหน้าจอ ในยุคที่คนทำงานหน้าจอวันละ 8–10 ชั่วโมง การมองเห็นเริ่มมีปัญหาเร็วกว่าที่เคย โอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA มีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาการตาแห้ง ตาล้า และป้องกันจอประสาทตาเสื่อมในระยะยาว สุขภาพดีไม่ใช่เรื่องของโชคดี แต่คือผลลัพธ์ของการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โอเมก้า-3 ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่คือ “สารอาหารที่ร่างกายคุณต้องการ” ในทุกช่วงอายุ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและดูแลร่างกายเชิงลึกตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงโรคเรื้อรัง ซึมเศร้า ความจำเสื่อม ปวดข้อ หรือแม้แต่ความอ่อนล้าทางจิตใจ ที่ไม่ควรมองข้าม ลองเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่าง D’LeVer Fish Oil สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกมีปริมาณ EPA และ DHA สูงในแคปซูลเดียว เหมาะกับทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะวัยเรียน วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ
เสียงหัวเราะ…คือยารักษาโรคที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในโลก

เครียด ๆ อยู่ ลองดูคลิปหมาแมวสัก 2 นาที ขำจนหลุด แล้วอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกดีขึ้นเฉยเลย คุณเคยรู้สึกแบบนี้มั้ย? ถ้าเคย… คุณไม่ได้คิดไปเองค่ะ เพราะเสียงหัวเราะไม่ใช่แค่ความสนุก แต่มันคือ “พลังบำบัด” ชั้นเยี่ยม ที่มีผลจริงกับระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ เสียงหัวเราะมีผลต่อร่างกายยังไง? เพราะเมื่อเราหัวเราะระบบประสาทพาราซิมพาเธติกที่ควบคุมการพักผ่อน จะทำงาน ส่งผลให้ระดับ ฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ลดลง ซึ่งเจ้านี่แหละ…เป็นตัวที่กดภูมิคุ้มกัน แล้วถ้าเป็นคนไม่ขำง่ายล่ะ จะหัวเราะยังไงดี? ไม่ต้องฝืนขำแบบปลอม ๆ นะคะ เพราะแม้แต่ “ยิ้ม” ก็ส่งผลดีต่อร่างกายเช่นกัน แต่ถ้าอยากเริ่มเพิ่มเสียงหัวเราะในชีวิตแบบธรรมชาติ ลองวิธีเหล่านี้ เสียงหัวเราะไม่ได้แค่ทำให้เรามีความสุขแต่ยังส่งผลลึกถึงระดับเซลล์ภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท และหัวใจวันไหนที่รู้สึกเครียด ป่วยง่าย อ่อนแอ อาจไม่ต้องรีบหายา แค่ลองหาคลิปแมว หรือโทรหาเพื่อนที่ขำเป็นเรื่องง่าย แล้วหัวเราะสักทีสองที คุณอาจพบว่าเสียงหัวเราะ คือยาดีที่สุดที่คุณมีอยู่แล้ว แค่ยังไม่ได้ใช้
การออกกำลังกายแบบไหนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด

การออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาว การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง และเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม แต่ด้วยรูปแบบการออกกำลังกายที่หลากหลาย ทำให้หลายคนสงสัยว่าการออกกำลังกายแบบใดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด แต่จริงๆแล้วประโยชน์ของการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ความชอบ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล มาการเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเรากันเลย การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจและปอด ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและหายใจถี่ขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง คือ การออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน เช่น การยกน้ำหนัก การใช้ยางยืด หรือการใช้น้ำหนักตัว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง การออกกำลังกายแบบยืดเหยียด คือ การออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ และเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบยืดเหยียด ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบยืดเหยียด การออกกำลังกายแบบทรงตัว คือ การออกกำลังกายที่เน้นการพัฒนาการทรงตัวของร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงของการหกล้ม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบทรงตัว ได้แก่ ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบทรงตัว: การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์สูงสุดมักเป็นการผสมผสานการออกกำลังกายแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 3-5 วันต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง 2-3 วันต่อสัปดาห์ และการออกกำลังกายแบบยืดเหยียดและทรงตัวอย่างสม่ำเสมอ การผสมผสานนี้จะช่วยพัฒนาความแข็งแรง ความทนทาน ความยืดหยุ่น และการทรงตัวของร่างกายอย่างครอบคลุม การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมเหมาะสมควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ไม่มีการออกกำลังกายรูปแบบใดที่ “ดีที่สุด” อย่างไรก็ตาม การผสมผสานการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง ยืดเหยียด และทรงตัว จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ความชอบ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและได้รับประโยชน์สูงสุด การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง และเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม
บำรุงสมองให้ไบรท์ ทำงานฉับไว ด้วยน้ำมันปลาสำหรับวัยทำงาน

ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูง การทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่เฉียบคม และการรับมือกับข้อมูลจำนวนมหาศาล กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับวัยทำงาน สมองจึงเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้พร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ การบำรุงสมองจึงไม่ใช่แค่เรื่องของผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่วัยทำงานควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในตัวช่วยสำคัญในการบำรุงสมองที่ได้รับความนิยมคือ “น้ำมันปลา” วัยทำงานมักจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ไม่ว่าจะเป็น จากความท้าทายเหล่านี้ ทำให้สมองของวัยทำงานต้องการสารอาหารที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำมันปลา “น้ำมันปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งประกอบด้วย EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid)” ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมอง ประโยชน์ของน้ำมันปลาต่อสมองของวัยทำงาน นอกจากการรับประทานน้ำมันปลาแล้ว การดูแลสุขภาพสมองด้านอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน น้ำมันปลาเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสมองของวัยทำงาน ช่วยเสริมสร้างความจำ การเรียนรู้ สมาธิ ลดความเครียด และอาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม การเลือกรับประทานน้ำมันปลาที่มีคุณภาพและปริมาณโอเมก้า 3 ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ จะช่วยให้สมองของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตการทำงานได้อย่างเต็มที่
เคล็ดลับดูแลสุขภาพในอากาศหนาว พร้อมเสริมสร้างด้วยซิงค์

เมื่อลมหนาวพัดมา อุณหภูมิที่ลดลงไม่เพียงแต่ทำให้เรารู้สึกหนาวสั่น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของเราในหลายด้าน ทั้งผิวพรรณ ระบบทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกัน การดูแลสุขภาพในช่วงอากาศหนาวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ บทความนี้จะนำเสนอแนวทางการดูแลสุขภาพในอากาศหนาวอย่างครอบคลุม พร้อมทั้งแนะนำอาหารที่ควรเสริม การรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงอากาศหนาว เพราะร่างกายจะสูญเสียความร้อนได้ง่ายกว่าปกติ การปฏิบัติตนเพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ อากาศที่แห้งและเย็นในช่วงหน้าหนาว มักทำให้ผิวแห้ง แตก และระคายเคือง การดูแลผิวพรรณจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันปัญหาผิวต่างๆ ในช่วงอากาศหนาว โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม มักจะแพร่ระบาดได้ง่าย การดูแลระบบทางเดินหายใจจึงมีความสำคัญ ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศหนาว การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสามารถทำได้โดย การดูแลสุขภาพในอากาศหนาวเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ การปฏิบัติตนเพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกาย การดูแลผิวพรรณ การดูแลระบบทางเดินหายใจ และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติควบคู่กันไป การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่มีซิงค์สูง หรือการเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีซิงค์ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง พร้อมรับมือกับอากาศหนาว
ดูแลหัวใจ เติมพลังให้ร่างกายด้วย D’LeVer Co Q-10 เพื่อสุขภาพที่ดี

โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10) หรือที่รู้จักกันในชื่อยูบิควิโนน (Ubiquinone) เป็นสารประกอบที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แหล่งที่มาของโคเอนไซม์คิวเท็น ร่างกายมนุษย์สามารถผลิตโคเอนไซม์คิวเท็นได้เองตามธรรมชาติ แต่ปริมาณการผลิตจะลดลงตามวัย นอกจากนี้ยังสามารถพบโคเอนไซม์คิวเท็นได้ในอาหารบางชนิด เช่น ข้อควรระวัง:
เช็กอาการ ลูกเป็นโรคสมาธิสั้น หรือแค่ซน?

สมาธิสั้น Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder (ADHD) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ลักษณะอาการที่สังเกตุง่าย อาทิ ขาดสมาธิ วู่วาม หุนหันพลันแล่น มีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงานและการเข้าสังคม เด็กบางคนมีอาการซนและหุนหันพลันแล่นเป็นอาการเด่น แต่บางคนมีอาการขาดสมาธิเป็นอาการเด่น โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder-ADHD) โรคสมาธิสั้น คือ กลุ่มอาการที่ประกอบด้วยการขาดสมาธิ ควบคุมตนเองต่ำ และซุกซน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม อาการของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน บางรายมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง และ ควบคุมตนเองต่ำเป็นอาการหลัก บางคนอาจจะมีอาการขาดสมาธิเป็นปัญหาหลัก สำหรับเด็กๆ ที่มีอาการของโรคซนสมาธิสั้น จะมีความผิดปกติของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับอายุและระดับพัฒนาการ โดยมักมีอาการแสดงก่อนช่วงอายุ 7 ปี และมีอาการแสดงอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยแบ่งอาการออกเป็นดังนี้ สาเหตุของโรคสมาธิสั้น เกิดจากความบกพร่องของสารเคมีที่สำคัญบางตัวในสมอง โดยมีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่สำคัญ ปัจจัยจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงปัจจัยที่ทำให้อาการหรือความผิดปกติดีขึ้นหรือแย่ลง มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือถูกสารพิษบางชนิด เช่น ตะกั่ว ในระหว่างตั้งครรภ์ จะมีโอกาสมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น 30-40% ของเด็ก สมาธิสั้น จะพบความบกพร่องในทักษะการเรียน (learning Disorders) ร่วมด้วย ประมาณ 20-30% ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายเมื่อเข้าวัยรุ่น เรียนหนังสือหรือทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ส่วนใหญ่ของเด็กสมาธิสั้นจะยังคงมีความบกพร่องของสมาธิอยู่ ดูเหมือนจะซนน้อยลง ซึ่งจะเป็นผลต่อการศึกษาต่อการงาน และการเข้าสังคมกับผู้อื่น สมควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรักษาโรคสมาธิสั้นในเด็ก การให้ความรู้ในการดำเนินโรคและข้อจำกัดของเด็กแก่พ่อแม่และคุณครู การรักษาทางยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว การช่วยเหลือทางด้านการเรียน ข้อแนะนำสำหรับครูในการช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้น จัดให้เด็กนั่งหน้าหรือใกล้ครูให้มากที่สุดในขณะสอน จัดให้เด็กนั่งให้ไกลจากประตู หน้าต่าง เขียนการบ้านหรืองานที่เด็กต้องทำในชั้นเรียนให้ชัดเจนบนกระดานดำ ตรวจสมุดจดงานของเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจดงานได้ครบ อย่าสั่งงานให้เด็กทำ พร้อมกันทีเดียวหลายอย่าง ให้เด็กทำงานเสร็จทีละอย่าง ก่อนให้คำสั่งต่อไป คิดรูปแบบวิธีเตือนหรือเรียกให้เด็กกลับมาสนใจบทเรียนโดยไม่ให้เด็กเสียหน้า เพิ่มงานที่ใช้แรงสำหรับกลุ่มที่อยู่ไม่นิ่ง เช่น เพิ่มเวลาเล่นกีฬา มอบหมายหน้าที่ให้ลบกระดาน ช่วยครูแจกงาน ให้ทำกิจกรรมที่ใช้แรง ให้เป็นนักกีฬาวิ่งเร็ว เป็นต้น ชมหรือรางวัลเมื่อเด็กทำตัวดีหรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทันที หลีกเลี่ยงการตำหนิ ว่ากล่าวรุนแรง หรือทำให้อาย ขายหน้า หรือการลงโทษทางร่างการ(ตี)เมื่อเด็กทำผิด เมื่อเด็กทำผิดพลาด ควรใช้วิธีการตัดคะแนน งดเวลาพัก ทำเวร หรืออยู่ต่อหลังเลิกเรียน(เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ) ให้เวลากับเด็กนานขึ้นกว่าเด็กปกติระหว่างการสอบ 1. น้ำมันปลา ในน้ำมันปลามีโอเมก้า 3 สูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสมอง และยังช่วยลดอาการอักเสบ จากการศึกษาพบว่า การทานน้ำมันปลาวันละ 1,000 มิลลิกรัม ช่วยให้อาการสมาธิสั้นดีขึ้นได้ มีงานวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า น้ำมันปลาจะช่วยทำให้อาการสมาธิสั้นในเด็ก (ADHD) ของเด็กๆ วัย 8-12 ปี ดีขึ้นได้ เพราะในน้ำมันปลามีโอเมก้า 3 นอกจากนี้ยังมีการทดลองให้เด็กๆ กินน้ำมันปลา และน้ำมันพริมโรส การทดลองพบว่า สามารถทำให้อาการสมาธิสั้นในเด็กอย่างเช่นอาการขาดความสนใจและความสามารถในการคิดอย่างรอบครอบของเด็กที่เป็นสมาธิสั้นวัย 7-12 ปีมีอาการดีขึ้นได้ นอกจากนี้น้ำมันปลายังช่วยเรื่องพฤติกรรม และช่วยเรื่องสมาธิในเด็กวัยต่ำกว่า 12 ปีอีกด้วย นอกจากเรื่องของสมาธิแล้ว ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่า น้ำมันปลาก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กๆ โดยการทดลองในประเทศออสเตรเลีย แบ่งเด็กๆ วัย 1 เดือนถึง 6 เดือนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้กินน้ำมันปลา ส่วนอีกกลุ่มได้กินยาหลอก (placebo) ที่ไม่ส่งผลใดๆ ต่อร่างกาย เมื่อเด็กทั้งสองกลุ่มอายุ 5 ขวบ ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้กินน้ำมันปลามีเอวเล็กกว่าเด็กที่ได้กินยาหลอก ซึ่งสมาคม American Heart Association กล่าวว่า การมีรอบเอวหนา หรือการมีไขมันสะสมที่เอวเยอะ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 2. วิตามิน B complex โดยเฉพาะในเด็กซึ่งต้องการวิตามิน บี มาก เพื่อช่วยในการสร้างเซราโทนิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินบี 6 3. แร่ธาตุรวม แร่ธาตุรวมบางชนิดช่วยให้ประสาทผ่อนคลายลง เช่น การทานแคลเซียมวันละ 500 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 250 มิลลิกรัม และซิงค์ 5 มิลลิกรัมต่อวัน 4. โพรไบโอติก โรคสมาธิสั้นอาจเกิดจากระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ การทานโพรไบโอติกจึงอาจช่วยได้ แนะนำให้ทานวันละ 25–50 ล้านตัวต่อวัน 5. กาบ้า สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท แนะนำให้ทานวันละ 250 มิลลิกรัม ก่อนทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะกาบ้าอาจขัดขวางการทำงานของยาบางชนิดได้ การรับประทานอาหารมีประโยชน์ เน้นรับประทานให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน นอกจากนี้อาจเสริมวิตามินบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะสมอง คุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองให้ลูกได้ด้วย “D’LEVER FISH OIL MINI” ที่มี DHA เข้มข้นมากถึง 240 mg ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลูกมีสมองที่ปลอดโปร่ง อารมณ์ดี และทำให้เขามีสมาธิมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างให้ลูกๆจากเด็กซนเป็นเด็กเก่งเเละฉลาด
ระวัง !! ของเล่นที่ลูกน้อยเอาของเข้าปากเป็นประจำ อาจทำให้ป่วยได้

ช่วงพัฒนาการของเด็กเล็กเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนา ทั้งด้านการเรียนรู้และด้านร่างกาย การเล่นของลูกจึงควรได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่ เพราะนั่นคือ “จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของลูก” ในช่วงนี้ก็มักจะมาพร้อมกับความวุ่นวายให้คุณพ่อคุณแม่ได้ปวดหัว โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่จะชอบมีพฤติกรรมหยิบของเข้าปาก ทำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นกังวล กลัวว่าของที่เอาเข้าปากจะมีเชื้อโรคสกปรกหรือถ้าลูกน้อยกลืนลงไปก็จะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นการทำความสะอาดของเล่นและการฆ่าเชื้อโรค ควรจัดอยู่ในรายการที่ต้องทำประจำเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย สาเหตุที่ลูกชอบเอาของเข้าปากนั้นเป็นพัฒนาการปกติตามวัย โดยเด็กแรกเกิด – 1.5 ปี จะเป็นช่วงวัยที่เรียนรู้จากปาก ซึ่งเด็กวัยนี้กำลังเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ลูกน้อยจะเรียนรู้จากการสัมผัส และสัมผัสที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด เข้าใจมากที่สุดตั้งแต่เกิด ก็คือประสาทสัมผัสทางปาก เพราะเป็นช่องทางการเรียนรู้ทั้งเรื่องรสชาติ สัมผัสที่แตกต่าง ความแข็ง ความนุ่ม ซึ่งลูกจะมีความสุขจากกิจกรรมทางปาก เช่น การดูด การเคี้ยว การกัด อย่างการหยิบของเข้าปากหรือการอมนิ้วนั่นเอง นอกจากนี้เด็กวัยนี้ ยังไม่รู้ว่าของแต่ละชิ้นเอาไว้ทำอะไร เมื่อคว้าได้ก็จะหยิบเข้าปากเป็นปกติ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จริง ๆ แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นไปตามพัฒนาการ ที่ลูกน้อยกำลังเริ่มเรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพราะเขาอยากรู้ว่าของสิ่งนั้นมีสี สัมผัสแข็งหรืออ่อนอย่างไร นอกจากนั้นพฤติกรรมหยิบของเข้าปากก็ยังเป็นการฝึกประสาทสัมผัสระหว่างตากับกล้ามเนื้ออีกด้วย ควรทำความสะอาดของเล่นบ่อยแค่ไหน ? ควรทำทุกวัน สำหรับบ้านที่มีเด็กวัย 0-3 ขวบ ที่มักหยิบจับของเข้าปากตัวเอง หรือไม่ได้ล้างมือให้สะอาดแล้วนำมือมาหยิบอาหารเข้าปาก เชื้อโรคก็อาจเข้าสู่ร่างกายเด็กได้โดยง่าย และเด็กอายุมากกว่า 3 ขวบ ไม่ได้มีนิสัยเอาของเล่นใส่ปาก แนะนำให้ทำความสะอาดทุก 1-2 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีจำเป็นที่ต้องทำความสะอาดของเล่นหรือฆ่าเชื้อโรคทันที แยกประเภทของเล่นก่อนทำความสะอาด ก่อนจะเริ่มทำความสะอาด ก็ต้องมาแยกประเภทของเล่นกันก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาด เพราะของเล่นแต่ละประเภทก็จะทำความสะอาดแตกต่างกันออกไป ดังนี้ 1.วิธีทำความสะอาดของเล่นที่ทำจากไม้ เช่น กล่องดนตรี รถลาก กล่องหยอดรูปทรงเรขาคณิต ม้าโยก นำผ้าสะอาดชุบน้ํา บิดให้หมาดก่อนนำไปเช็ดของเล่นไม้ ไม่ควรใช้ผ้าเปียกๆ เช็ดของเล่น หรือนำของเล่นไปล้างน้ำ เพราะน้ําจะซึมเข้าไปในเนื้อไม้ และก่อให้เกิดเชื้อรา เป็นอันตรายต่อเด็กได้ เมื่อเช็ดเสร็จให้นําของเล่นไปตากแดดหรือให้ลมโกรกจนแห้ง แล้วค่อยเก็บของเล่นให้เข้าที่ 2.วิธีทำความสะอาดของเล่นพลาสติก และของเล่นที่ทำจากยาง เช่น ลูกบอล ของเล่นเขย่า ล้างด้วยน้ําสบู่ หรือเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด สะบัดน้ำออกให้หมดก่อนที่จะนำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท นำสำลีชุบแอลกอฮอล์ หรือทิชชู่เปียก มาเช็ดคราบฝังแน่น หรือแช่ของเล่นด้วยน้ำผสมสบู่เด็ก ก่อนจะล้างน้ำให้สะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดของเล่น และผึ่งลมให้แห้ง การตากแดดนานๆ อาจทำให้วัสดุเสื่อมสภาพ 3.วิธีทำความสะอาดของเล่นที่ทำจากผ้า เช่น ตุ๊กตาผ้า โมบายห้อยแขวน นำของเล่นผ้าไปซักด้วยผลิตภัณฑ์ซักผ้าหรือผงซักฟอกที่ใช้ซักเสื้อผ้าเด็กที่มีคุณสมบัติอ่อนโยน หลังซักเสร็จให้บีบจนหมาด ก่อนนำไปตากแดดหรือผึ่งลมให้แห้ง สะบัดน้ำออกให้หมดก่อนที่จะนำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท หากต้องการซักตุ๊กตาขนนุ่มด้วยเครื่องซักผ้า กรุณาตรวจที่ป้ายก่อนว่าสามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้หรือไม่ และดูว่าควรใช้น้ำอุณหภูมิเท่าใด หากเป็นตุ๊กตาตัวโปรดของคุณหนูๆ ที่ค่อนข้างมอมแมม ควรโรยผงเบกกิ้งโซดาไปที่ตำแหน่งสกปรกก่อน แล้วผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อยลงไปน้ำระหว่างซักมือ เพื่อช่วยกำจัดคราบได้ง่ายขึ้น 4.วิธีทำความสะอาดของเล่นที่ต้องใช้แบตเตอรี่ เช่น รถบังคับ ควรถอดแบตเตอรี่ออกจากของเล่นก่อนทำความสะอาด ระวังไม่ให้น้ำซึมเข้าไปในที่ใส่แบตเตอรี่ หลีกเลี่ยงการโดนน้ำในบริเวณที่เป็นแผงวงจรไฟฟ้า สำหรับการทำความสะอาดส่วนอื่นๆ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่เช็ดทำความสะอาดให้ทั่ว แล้วนำไปผึ่งลมให้แห้ง ก่อนเก็บของเล่น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ปลอดภัยต่อลูกน้อย การรักษาความสะอาดเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุด แต่ใช่ว่าทุกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจะส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะสารทำความสะอาดหลายชนิดก็มักมาพร้อมสารเคมีอันตรายรุนแรงที่อาจทำร้ายเจ้าตัวน้อยได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างใส่ใจเพื่อสุขอนามัยที่ดี ปราศจากน้ำหอม ปราศจากแอลกอฮอล์ เพื่อความปลอดภัยต่อผิวที่บอบบาง และระคายเคืองง่ายของลูกน้อย “..McDurée Hygienic Freshbio All Skin Spray..” ที่มีสารสกัดจากพืช มีฤทธิ์ anti-microbial ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัสชนิดมีเปลือกห่อหุ้มเช่นเชื้อโควิด หนึ่งในสารธรรมชาติที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ซึ่งค้นพบจากน้ำมันมะพร้าว “Monolaurin” เป็นสารสกัดจากน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับน้ำนมเหลืองของแม่ สามารถติดอยู่บนผิวได้นานถึง 4 ชั่วโมง พ่นได้ทั้งบนผิวหน้า ผิวกาย เสื้อผ้า และสิ่งของ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าแอลกอฮอล์ ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและไม่เป็นอันตราย ฉีดแล้วสามารถหยิบจับ ทานอาหารต่อได้ ปลอดภัยต่อลูกน้อย อีกทั้งยังให้ความชุ่มชื้น และทำความสะอาดโดยไม่ต้องล้างน้ำออก” เพราะลูกน้อยต้องการการดูแล การทำความสะอาดของเล่นลูกน้อยนอกจากจะป้องกันไม่ให้ของเล่นเป็นแหล่งเชื้อโรคที่ทำให้ลูกป่วย ยังเป็นการตรวจเช็คสภาพว่า มีชิ้นส่วนใดชำรุด ควรซ่อมแซม หรือเสื่อมสภาพ การพบปะเชื้อโรคมีอยู่รอบตัว คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรค และสอนให้ลูกน้อยหมั่นล้างมือวันละหลายๆ ครั้ง จนกลายเป็นนิสัย เพื่อจะนำไปสู่สุขอนามัยแบบยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องกีดกันลูกจากความสุขในการเล่นของเล่นอีกด้วย