แม้ว่าเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าหากรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งวิตามินหรืออาหารเสริม แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้ในทุกวัน อาหารเสริมและวิตามินจึงกลายเป็นทางเลือกของคนที่ใส่ใจสุขภาพเพราะสะดวกสบาย ง่ายที่จะทำ ทั้งยังหาซื้อได้ทั่วไปอีกด้วย แต่อาหารเสริมนั้นก็มีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินบี ธาตุเหล็ก สังกะสี หรือสารอาหารอื่น ๆ ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีชื่อของ “น้ำมันปลา” และ “น้ำมันตับปลา” รวมอยู่ด้วย ด้วยชื่อที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน จึงทำให้เกิดความสับสนกันอยู่บ่อยๆ ว่าทั้งสองอย่างนั้น คือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไขข้อสงสัย..น้ำมันปลา (Fish Oil) VS น้ำมันตับปลา (Cod liver oil)
น้ำมันปลา (Fish Oil) ได้จากกระบวนการสกัดเอาน้ำมันออกมาจากส่วนต่างๆ ของปลา เช่น เนื้อปลา หนังปลา หางปลา หัวปลา โดยปลาทะเลที่นำมาสกัดนั้นเป็นปลาที่อยู่ในทะเลน้ำลึกเขตหนาวเย็น ซึ่งมีกรดไขมัน Omega-3 ปริมาณมากกว่าปลาน้ำจืด อาทิ ปลาแองโชวี่ ปลาแมคเคอเรล หรือปลาทูน่ามีไขมัน เป็นต้น
สารอาหารสำคัญของน้ำมันปลา (Fish Oil): อุดมไปด้วยกรดไขมัน Omega-3 ประกอบด้วยกรดไขมันสำคัญ 2 ชนิด ก็คือ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) โดยมีผลวิจัยทางการแพทย์มากมายสรุปอย่างชัดเจนว่าน้ำมันปลา (Fish Oil) มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น มีส่วนช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ และลดโอกาสการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ สมองอุดตัน นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสมองและหัวใจ เป็นต้น
น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) สกัดมาจากตับของปลาทะเลน้ำลึก โดยเฉพาะปลาค็อด หรือที่หลายคนคุ้นหูกันในชื่อของ Cod liver oil
สารอาหารสำคัญของน้ำมันตับปลา (Cod liver oil) : มีกรดไขมัน EPA และ DHA เหมือนกับน้ำมันปลาแล้วแต่มีในปริมาณที่น้อยกว่าน้ำมันปลา แต่น้ำมันตับปลาจะมีวิตามินเอ และวิตามินดี ในปริมาณที่สูง
น้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาเหมาะกับใคร ?
น้ำมันปลา (Fish Oil) เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงหัวใจ สมอง ป้องกันหลอดเลือดหัวใจ และสมองอุดตัน หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูงหรือต้องการลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ ลดอักเสบโรคข้อรูมาตอยด์ โรคซึมเศร้า และโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลในเรื่องของสายตาและกระดูก เนื่องจาก วิตามินเอ ได้ชื่อว่าเป็น วิตามินสำหรับดวงตา เพราะมีประโยชน์ต่อสมรรถภาพในการมองเห็น ช่วยให้มองเห็นในที่ที่มีแสงสว่างน้อยได้ดีขึ้น ในส่วนของ วิตามินดี เองนั้นก็มีคุณสมบัติในการบำรุงกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง รวมถึงยังถูกนำมาใช้เสริมในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดวิตามินเอ และวิตามินดี อีกด้วย
ประโยชน์ของน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา
1.ลดการอักเสบเรื้อรังและความกังวลจากการอักเสบ โอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา ช่วยลดอาการอักเสบเรื้อรังได้ โดยการเข้าไปจัดการกับโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ขณะที่วิตามิน A และ D ในน้ำมันตับปลา ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยลดการอักเสบโดยการต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย
ในงานวิจัยบางงานยังพบว่า อาการอักเสบส่งผลต่ออารมณ์ ทำให้เกิดความกังวลหรือซึมเศร้าได้ ซึ่งหากอาการอักเสบเรื้อรังลดลง ความกังวลและอาการซึมเศร้าก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงระหว่างการเพิ่มขึ้นของปริมาณวิตามิน D ในกระแสเลือดกับการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเโซโรโทนิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสารแห่งความสุข ส่งผลต่อความกังวลและอาการซึมเศร้าอีกด้วย
2.เสริมสร้างมวลกระดูก โดยทั่วไป มวลกระดูกของคนเราจะเริ่มลดลงไปตามวัยหลังอายุ 30 ปี ซึ่งนำไปสู่กระดูกเปราะหรือแตกหักได้ง่าย แต่วิตามิน D ในน้ำมันตับปลา จะช่วยลดอัตราการหายไปของมวลกระดูกที่มาจากช่วงวัย เพราะวิตามิน D ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และแคลเซียมทำให้กระดูกแข็งแรง กรณีนี้น้ำมันตับปลาจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรที่ได้รับแสงแดดปริมาณน้อย ร่างกายจึงนำมาสังเคราะห์เป็นวิตามิน D ได้น้อย
3.ลดอาการปวดตามข้อจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ในงานวิจัยบางงานระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดอาการเจ็บปวดตามข้อ และลดอาการอักเสบหรือบวมได้ ดังนั้น มันจึงช่วยลดอาการปวดจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
4.ช่วยให้มีสุขภาพตาที่ดีขึ้น ผู้คนจำนวนมากประสบปัญหาเกี่ยวกับสายตาและการมองเห็น และ 2 เหตุผลใหญ่ ๆ ที่นำไปสู่ภาวะดังกล่าวคือ การเป็นต้อหิน และ จอประสาทตาเสื่อมตามวัย ซึ่งมาจากการอักเสบเรื้อรัง แต่การรับประทานน้ำมันตับปลาที่มีทั้งโอเมก้า-3 และวิตามิน A อยู่นั้นช่วยต้านการอักเสบและลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดต้อหิน เช่น ความดันในตาหรือเส้นประสาทตาถูกทำลายได้
5. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โอเมก้า-3 สามารถลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลงได้ถึง 15-30% ลดความดันเลือด เพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันดีในเลือด ป้องกันการเกิดคราบพลัก (Plaque) ซึ่งเป็นการสะสมของไขมันและแคลเซียมในหลอดเลือดแดง จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา
1. คนที่แพ้ปลาทะเลหรืออาหารทะเลห้ามรับประทาน เพราะน้ำมันปลามาจากปลาทะเล ผู้ที่แพ้อาหารทะเล หรือแพ้ปลาก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะแพ้น้ำมันปลาจจนทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเสียได้
2. ไม่ควรรับประทานน้ำมันตับปลาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากในน้ำมันตับปลามีวิตามินเอและวิตามินดีที่ค่อนข้างสูง การรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดการสะสมของวิตามินเอและวิตามินดีได้
3. ควรหยุดรับประทานน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 7 วัน เนื่องจากว่าคุณสมบัติของ EPA สามารถที่จะยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งอาจส่งผลทำให้เลือดแข็งตัวช้าและเกิดอันตรายระหว่างผ่าตัดได้
4. ห้ามรับประทานคู่กับยาแอสไพรินและวาฟาริน ไม่แนะนำให้รับประทานน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลาคู่กับยาทั้ง 2 ชนิดนี้ เนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยากับยา ทําให้เลือดหยุดไหลช้าหรือว่าเลือดแข็งตัวช้าจนเกิดอันตรายได้
5. คนที่มีโรคประจำตัวไม่แนะนำให้รับประทาน โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด มีระดับไขมันในเลือดสูง จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนกินน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา
เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้คงได้เห็นถึงความแตกต่างของ น้ำมันปลา และน้ำมันตับปลากันแล้ว ร่างกายของเราต้องการโอเมก้า-3 เพื่อช่วยในกระบวนการทำงานต่าง ๆ จึงควรรับประทานอาหารทะล 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่หากไม่สะดวกในการรับประทานอาหารทะเล ดังนั้นก่อนการเลือกซื้ออย่าลืมพิจารณาถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องการดูแล เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์มากที่สุด อีกทั้งควรศึกษาถึงวิธี ปริมาณ และระยะเวลาในการรับประทานเพื่อที่จะให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด