เคล็ด(ไม่)ลับ แก้ไอ แก้เจ็บคอด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ

อาการ เจ็บคอ คือการรู้สึกระคายเคืองในลำคอ เพราะมี “การอักเสบของเนื้อเยื่อลำคอ” เช่น ผนังช่องคอ ต่อมทอนซิล หรือ กล่องเสียง โดยอาการจะเป็นมากขึ้น เวลากลืน ส่วนใหญ่การอักเสบนี้ มักเกิดจาก… การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ บ่อยครั้งอาจเกิดจากการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ อาการเจ็บคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยมาก สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และพบได้บ่อยใน เด็ก วัยรุ่น และคนวัยหนุ่มสาว ส่วนในเพศชายและเพศหญิงมีอัตราการเกิดใกล้เคียงกัน และสามารถเกิดอาการเจ็บคอได้ตลอดทั้งปี สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับอาการเจ็บคอที่หลายคนมักเข้าใจผิด คือ อาการดังกล่าวไม่จำเป็นเกิดขึ้นจากการเป็นหวัดเสมอไป เพราะอาการเจ็บจอสามารถเกิดได้ทั้งการติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อได้เช่นกัน ซึ่งมีการแบ่งสาเหตุของการอาการเจ็บคอแบ่งเป็นสาเหตุหลัก 2 สาเหตุ คือ 1.สาเหตุของอาการเจ็บคอที่เกิดจากการติดเชื้อ ในระบบทางเดินหายใจ อาการเจ็บคอสามารถเกิดได้จากการ”ติดเชื้อไวรัส” เช่น ไข้หวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคคออักเสบ โรคกล่องเสียงอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบเป็นต้น และจะมีอาการแดงที่ช่องคอเล็กน้อย ทำให้เกิดอาการอักเสบและเจ็บคอ นอกจากนี้มีไข้ มีน้ำมูกใส คัดจมูกบ้าง ทั้งนี้อาการเจ็บคอที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสจะสามารถหายเองได้ภายใน 3-7 วัน ไม่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ โดยโรคคออักเสบจากการติดเชื้อ เป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอที่พบได้บ่อยที่สุด อาการเจ็บคอที่เกิดจากการ”ติดเชื้อแบคทีเรีย” เช่น โรคต่อมทอนซิลอักเสบ โรคไซนัสอักเสบ โรคคอตีบส่วนใหญ่จะมีอาการเจ็บคอ ครั่นเนื้อ ครั่นตัว มีไข้ต่ำๆ ไอ คัดจมูก น้ำมูกไหล บริเวณผนังลำคอด้านหลัง ลิ้นไก่ จะมีอาการอักเสบบวมแดงจนทำให้รู้สึกเจ็บคอมากกว่า 2.สาเหตุของอาการเจ็บคอที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เกิดจากการพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ไปกระตุ้น ให้เกิดอาการเจ็บคอขึ้น หรือเกิดจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การใช้เสียงที่ติดต่อกันนานๆ หรือการตะโกน จนทำให้เกิดการอักเสบและนำไปสู่การเจ็บคอ นอกจากนี้ยังเกิดจากโรคกรดไหลย้อน ทำให้เยื่อบุช่องคอเกิดการอักเสบ มีอาการเจ็บคอเป็นๆ หายๆ ได้ อาการไอคืออะไร? “อาการไอ” เป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายอย่างหนึ่งต่อสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจ และเป็นกลไกป้องกันที่สำคัญของร่างกายในการกำจัดเชื้อโรค อาการไอ..เริ่มจากการที่มีสิ่งกระตุ้นการไอหรือมีสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้ระคายเคืองในบริเวณระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โพรงจมูก กล่องเสียง หลอดลม หรือปอด ขณะที่ในอากาศมีสารก่อความระคายเคืองที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจปะปนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น ควัน มลภาวะในอากาศ ขนสัตว์ การสูบบุหรี่ ละอองเกสร ร่างกายจึงมีวิธีกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปเพื่อลดอันตรายของทางเดินหายใจลง โดยปกติระบบทางเดินหายใจจะมีเยื่อเมือกที่ผลิตของเหลวขึ้นมาช่วยเพิ่มความชุ่มให้กับทางเดินหายใจ แต่เมื่อเกิดการติดเชื้อร่างกายจะสร้างของเหลวมากขึ้นจนกลายเป็นเสมหะ เพื่อช่วยดักจับเชื้อโรคหรือสิ่งระคายเคืองออกไป โดยการไอจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับเสมหะในทางเดินหายใจและปอดออกมานั่นเอง จึงทำให้บางคนมีอาการไอมีเสมหะร่วมด้วย อาการไอแบ่งออกได้ 2 แบบ 1.ไอแห้ง จะมีอาการคัน ระคายเคืองภายในลำคอ และไม่มีสารคัดหลั่งอื่นๆหรือเสมหะออกมาก 2.ไอมีเสมหะ จะมีของเหลงหรือเมือกเหนียวออกมา โดยของเหลวนี้จะเรียกว่า เสมหะ ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นเพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่ติดค้างภายในลำคอ แต่ไม่ว่าจะเป็นการไอในลักษณะใด เมื่อเริ่มมีอาการไอ มักจะมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย เป็นอาการเจ็บหรือรู้สึกระคายเคืองในลำคอ เพราะมีการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณลำคอ เช่น ต่อมทอนซิล เพดานอ่อน กล่องเสียง หรือโคนลิ้น เป็นต้น ส่งผลทำให้ยากต่อการกลืนน้ำหรืออาหารเพราะจะทำให้รู้สึกเจ็บ โดยทั่วไปอาการไอและเจ็บคอสามารถหายได้เองไม่เกิน 3 สัปดาห์ ถ้าหากอาการไอรบกวนการใช้ชีวิต มีวิธีที่จะช่วยรักษาและบรรเทาอาการไอ และอาการเจ็บคอได้ ดังนี้ 1.ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ : อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุลำคอที่กำลังอักเสบ และยังช่วยลดอาการเจ็บคอและระคายคอ นอกจากนี้ความร้อนจากน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะได้ด้วย การจิบน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งและมะนาวทำให้รู้สึกชุ่มคอและบรรเทาอาการระคายคอ 2.เพิ่มความชื้นในอากาศ : การนอนห้องแอร์หรืออยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ยิ่งทำให้มีอาการไอกำเริบมากขึ้น เนื่องจากภายในห้องมีความชื้นต่ำ อากาศแห้งสูง จึงกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของหลอดลมจึงเกิดอาการไอมากขึ้น ดังนั้นควรรักษาระดับความชื้นภายในห้องอย่างเหมาะสม เลือกใช้เครื่องทำความชื้น ก็จะสามารถช่วยให้ระบบทางเดินหายใจชุ่มชื้นขึ้นได้ 3.หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองเยอะ : หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด มีฝุ่นละอองหรือมลพิษต่างๆ เพราะในสถานที่เหล่านี้มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองทางจมูกและลำคอ เมื่อสูดดมฝุ่น ควันเข้าไปจึงทำให้เกิดการระคายเคืองขึ้นไป ควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกันเอาไว้ จะสามารถช่วยลด และป้องกันไม่ให้หายใจเอาฝุ่น ควัน เข้าไปในร่างกาย 4.งดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ : การสูบบุหรี่นอกจากจะทำให้เกิดการระคายคอ เจ็บคอ ยังก่อโรคอื่นๆ อีกมากมาย และไม่ควรอยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่ 5.ยาบรรเทาอาการไอ ระคายคอ เจ็บคอ : การรักษาอาการไอ ระคายคอ เจ็บคอนั้น มีทั้งยาแก้ไอที่ได้จากสารเคมี ที่มีตัวยาเพื่อประสิทธิภาพการรักษาอาการไอ เช่น ออกฤกธิ์กดอาการไอ แต่มีข้อเสียซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียงในการใช้ยาได้อย่างอาการง่วงนอนได้ และยาแก้ไอที่ได้จากสมุนไพรธรรมชาติ ช่วยให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการไอ ระคายคอได้ดีไม่แพ้กัน วัตถุดิบจากธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการไอและเจ็บคอ มีหลากหลายชนิด เช่น กระชายขาว, มะขามป้อม, ชะเอมเทศ เป็นต้น โดยมีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสในลำคอ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในลำคอทำให้รู้สึกชุ่มคอเพิ่มขึ้นด้วย ชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านการระคายเคือง ขับเสมหะ และช่วยลดความถี่ในการไอได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากชะเอมเทศนั้นสามารถช่วยลดอาการอักเสบของเยื่อเมือกบริเวณหลอดลม ลดการระคายเคือง และมีฤทธิ์ระงับอาการไอทั้งแบบเฉพาะที่และแบบที่ไปกดที่ศูนย์ควบคุมการไอ และมีการศึกษาพบว่าชะเอมเทศยังสามารถช่วยลดอาการเจ็บคอ ช่วยทำให้ชุ่มคอ แก้อาการคอแห้งและช่วยขับเสมหะได้อีกด้วย กระชายขาวสารสำคัญในกระชายขาวมีชื่อว่า Panduratin A (แพนดูลาตินเอ) สามารถที่จะช่วยยับยั้งเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ รวมถึงยังสามารถช่วยลดอาการเหงือกอักเสบ หรือมีเเผลในช่องปากได้ มะขามป้อมมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการไอ ระงับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อช่วยบรรเทาอาการไอ ละลายเสมหะ ช่วยทำให้ชุ่มคอ และสามรถช่วยต้านการอักเสบได้อีกด้วย แม้จะมีรู้วิธีรักษาอาการไอ และเจ็บคอ รวมไปถึงสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาในเบื้องต้นแล้ว ก็อย่าลืมว่าหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี คือ การใส่ใจสุขภาพตัวเองอยู่เสมอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ควบคู่กับการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ ขอขอบคุณข้อมูลจาก :https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%AD/https://medthai.com/%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%ad/– ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. ยาและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เล่ม 2. 2536– สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. บัญชียาจากสมุนไพร ใน บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2555. นนทบุรี: กระทรวงสาธารณสุข; 2555.
ไม่ดื่มเหล้า ก็ตับแข็งได้ รู้ยัง ?

ถ้าพูดถึง ตับแข็ง หลายคนคงจะเข้าใจว่าเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป แต่จริงๆแล้วมีอีกหลายสาเหตุมากที่สามารถทำให้เกิดตับแข็งได้ ไม่ว่าจะเป็นไขมันสะสมในตับ หรือระบบภูมิคุ้มกันไม่ปกติ โดยปกติแล้วเนื้อเยื่อตับสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ถ้าเซลล์ได้รับความเสียหายมากเกินไป ก็จะกลายเป็นเหมือนแผลเป็นที่เป็นพังผืดถาวร ส่งผลให้ตับไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตับ เป็นอวัยวะในร่างกายทำหน้าที่กรองและกำจัดสารพิษ เชื้อโรคต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังสร้างน้ำดี และมีส่วนสำคัญให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ แต่ถ้ามีสาเหตุที่ทำลายตับ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ดีของตับถูกทำลายเกิดแผลเป็น เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นซ้ำๆ จะมีพังผืดขึ้นมาแทนที่เนื้อตับจึงสูญเสียความยืดหยุ่นและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด ภาวะตับแข็ง ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายมากขึ้น โรคตับแข็ง หรือ Liver cirrhosis เป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้เกิดการสูญเสียโครงสร้างของตับ โดยเนื้อตับจะถูกทำลาย และไปดึงรั้งเนื้อตับดีจนเป็นผิวตะปุ่มตะป่ำเรียกว่า regenerative nodule ทำให้ตับสูญเสียการทำงานลงไป เพราะเลือดจะมีเลี้ยงเนื้อตับน้อยลง นอกจากนี้ ภาวะตับแข็งยังอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้ความดันในเส้นเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย ม้ามโต ขาบวม มีน้ำในช่องท้อง มีการเปลี่ยนแปลงตามผิวหนังคือมีจุดเล็กๆ แดงๆ เกิดขึ้น มีเส้นเลือดผิดปกติเกิดขึ้นในช่องทางเดินอาหาร ซึ่งถ้าเส้นเลือดเหล่านี้แตกก็อาจทำให้ถ่ายอุจจาระปนเลือดได้ หากปล่อยไว้นานก็จะกลายเป็นตับแข็งระยะสุดท้าย และพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน สาเหตุที่เกิดตับแข็ง นอกจากการดื่มเหล้า 1.การเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือไวรัสตับอักเสบซี จนทำให้ตับอักเสบเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะกลายเป็น โรคตับแข็ง ในที่สุด โดยไวรัสตับอักเสบบีและซีนั้น เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันทางเลือดและเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อเป็นพาหะนั้นมักจะเกิดโดยไม่รู้ตัว2.เกิดจากโรคที่ภูมิคุ้มกันมีการทำลายเนื้อตับ3.เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคอ้วน, ไขมันในเลือดสูง4.การรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน ยารักษาวัณโรคบางชนิด5.โรคทางพันธุกรรมบางโรคทำให้เกิด ตับแข็ง เช่น ทาลัสซีเมีย,hemochromatosis, Wilson’s disease, galactosemia6.ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ทำให้เส้นเลือดคั่งที่ตับ เลือดไหลเวียนในตับน้อยลง เนื้อตับขาดภาวะออกซิเจนจนตายลง7.พยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในเลือดอาจทำให้เกิดตับแข็ง ผู้ป่วยโรคตับแข็งมักจะปรากฏอาการเริ่มแรกในช่วงอายุระหว่าง 40 – 60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อย มักมีสาเหตุจากตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีอาการค่อนข้างรุนแรง 6 เคล็บลับ ช่วยถนอมตับให้แข็งแรง 1.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคตับ เช่น ตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรังและโรคตับแข็ง เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไปทำร้ายเซลล์ของตับ กระตุ้นให้มีไขมันสะสมในตับ จนเกิดการอักเสบ และเกิดพังผืดส่งผลให้เกิดตับแข็ง การทำงานของตับลดลง ตับวาย และนำไปสู่มะเร็งตับ2.งดการสูบบุหรี่บุหรี่ไม่ได้ทำลายเพียงแค่ปอด แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตับอีกด้วย ในผู้ที่สูบบุหรี่ประจำทุกวัน ตับต้องทำงานหนักเพื่อกรองสารพิษอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตับอ่อนแอและเกิดปัญหาตามมาได้ง่าย3.ไม่รับประทานยาเกินความจำเป็นเนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ในการกำจัดยาออกจากร่างกาย ซึ่งหากร่างกายได้รับยาบางชนิดในปริมาณสูง หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน ตับก็จะไม่สามารถทำลายได้ทัน เหลือเป็นส่วนเกินและมีฤทธิ์ทำลายเนื้อตับ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับจนกลายเป็นภาวะตับวายได้4.ควบคุมน้ำหนักตัวการมีน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานนั้นไม่ได้ส่งผลต่อรูปร่างเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลเสียต่อตับด้วย เพราะถ้ามีไขมันในร่างกายมากเกินไปก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไขมันพอกตับได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมัน แป้ง และน้ำตาล ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไป5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอการนอนหลับให้เพียงพอและเป็นเวลา จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ทำให้เลือดไปซ่อมแซมและบำรุงตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีผลการศึกษา พบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะไขมันเกาะตับ (Non Alcoholic Fatty Live Disease; NAFLD) ถึง 1.2 เท่า6.เสริมด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงตับสารอาหารบำรุงตับ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สำคัญในการปกป้องตับให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ ช่วยขับสารพิษและบำรุงตับ สารอาหารที่เหมาะแก่ผู้ที่ต้องการดูแลตับ อย่างเช่น– แอล-กลูตาไธโอน (L-glutathione) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย– โคลีน ไบทาร์เทรต (Choline Bitartrate) ช่วยกำจัดสารพิษและยาที่ตกค้างภายในร่างกาย โดยช่วยเสริมการทำงานของตับ ถ้าขาดโคลีน จะทำให้ตับไม่สามารถกำจัดไขมันออกได้ ผลคือจะเกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งสามารถจะนำไปสู่ภาวะเซลล์ของตับเสื่อม ตับแข็ง และมะเร็งตับได้– แดนดิไลออน (Dandelion) ช่วยชะล้างสารพิษให้ตับและไตสามารถขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น เป็นแหล่งวิตามินธรรมชาติ ช่วยบำรุงสายตาและมีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง รักษาอาการดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม บำรุงตับ ทำให้ตับทำงานได้อย่างปกติ– พริกไทยดำ (Black Pepper) ช่วยกำจัดเซลล์ไขมันที่อยู่ในร่างกาย โดยทำให้เซลล์ไขมันเก่า ที่สะสมอยู่ในร่างกายตาย พร้อมกับ ควบคุมการเกิดขึ้นใหม่ของเซลล์ไขมัน และยังช่วยให้ตับสามารถทำลายสารพิษได้มากขึ้น นอกจากการทานอาหารหรือผักผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อตับแล้ว การมีตัวช่วยล้างสารพิษที่สะสมอยู่ในตับเพื่อฟื้นฟูเซลล์ตับและเสริมประสิทธิภาพของตับในการกำจัดสารพิษก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เพราะ “ตับ” เป็นอวัยวะที่มีเพียงชิ้นเดียวในร่างกาย และมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ดูแล บำรุง และป้องกันให้ดีก่อนตั้งแต่ยังไม่เกิดโรค ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.sikarin.com/health/liver-cirrhosishttps://www.bumrungrad.com/th/health-blog/may-2015/cirrhosis-treatment-best-jci-hospital-bangkok-thailand
Check list ยาประจำทริป ที่ต้องพกตอนเดินทาง

เวลาเดินทางไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ นอกจากจะจัดกระเป๋าเดินทาง เตรียมเอกสารสำคัญ อุปกรณ์ต่างๆแล้ว “ยา” ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมไปให้พร้อม เพราะหากเกิดป่วยฉุกเฉิน หรืออุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ ระหว่างทางจะได้รักษาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นยาสามัญ ยาโรคประจำตัว ควรเตรียมไปให้พร้อม เพราะการซื้อยาในต่างประเทศค่อนข้างลำบาก และในบางประเทศยังต้องใช้ใบรับรองแพทย์อีกด้วย หลายคนคงเริ่มสงสัย แล้วยาอะไรที่ควรนำติดตัวไปบ้าง ที่จะช่วยเซฟตัวเราระหว่างการเดินทาง วันนี้ MacroPhar มีคำตอบมาบอกแล้ว มาเริ่มเช็คลิสต์รายชื่อยาที่เราต้องเตรียมไปกัน ยาประจำทริปควรต้องมียาอะไรบ้าง? 1.ยารักษาโรคประจำตัว หากมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนสิ่งที่ห้ามลืม คือ ยารักษาโรคประจำตัว เพราะการเดินทางไปในที่ต่างถิ่นการรักษาอาจจะเป็นไปได้ยาก อาจจะทำให้เกิดควาอันตรายเมื่อโรคประจำตัวกำเริบ ** การนำยาไปต่างประเทศบางครั้งอาจจะโดนตรวจสอบ แนะนำให้ใช้ยาที่มีฉลากที่แสดงภาษาอังกฤษประกอบ หรือมีใบรับรองโรคประจำตัวติดไปด้วย และยาจะต้องอยู่ในแพ็คเกจลักษณะที่ถูกต้อง 2.ยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ การออกทริปเดินทางท่องเที่ยว บางครั้งอาจจะเดินเยอะ นั่งเยอะ หรือแบกของหนัก จนเกิดอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัว ยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ยานวดเป็นตัวช่วยที่ดี ในการบรรเทา คลายการอักเสบ เป็นสิ่งที่ควรมีติดการเดินทางเอาไว้ แต่ยาแก้ปวดเมื่อย ไม่ควรทายในขณะท้องว่าง เพราะยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กัดกระเพาะ ควรทานหลังอาหารแล้วดื่มน้ำด้วยทุกครั้ง อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงได้ 3.ยาแก้หวัด ลดไข้ ลดน้ำมูก การเดินทางแต่ละครั้ง อาจจะเจออากาศเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จากร้อนไปหนาว หนาวไปร้อน ทำให้สภาพร่างกายปรับอุณหภูมิตามไม่ทัน เสี่ยงต่อการเป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน และมีน้ำมูกได้ ยาที่ช่วยแก้ปวดหัว รักษาหวัด ยาลดน้ำมูก จึงถือได้ว่า เป็นยามาตรฐานสำหรับเวลาเดินทางไปที่ต่าง ๆ ซึ่งยาที่ควรพกติดตัวเอาไว้ เช่น Paracetamol, Carbocysteine, Cetirizine เป็นต้น 4.ยาแก้ท้องเสีย การเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทำให้มีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารที่หลากหลายรูปแบบ อาจทำให้เกิดการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืด แน่นท้อง อาเจียน อาหารเป็นพิษ ระหว่างทริปได้ ควรพกยาสำหรับอาการเหล่านี้ติดตัวไว้ เพื่อความมั่นใจหายกังวัลตลอดการเดินทาง 5.ยาแก้เมายานพาหนะ อาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน ถ้าเกิดเดินทางท่องเที่ยวแล้วเป็นขึ้นมาหมดสนุกลงได้อย่างง่ายๆ หากใครเป็นคนที่เมารถ เมาเรือง่ายแต่เป็นสายท่องเที่ยว ก็อย่าลืมพกยาแก้เมายานพาหนะติดตัวไว้ เพื่อคลายบรรเทา ให้เดินทางอย่างสนุกตลอดทริปกันด้วยนะ ทริคพกยาไปต่างประเทศ แบบไม่กังวลใจ 1.ยาที่อนุญาตให้พกติดตัวไปได้ จะต้องนำยาที่อยู่ในแพ็คเกจลักษณะที่ถูกต้องไป ไม่แกะแยกออกเป็นแผง หรือแยกเป็นเม็ด เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบและอธิบายให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของแต่ละประเทศให้เข้าใจว่านั่นคือยารักษาโรคประจำตัว หากแกะแยกออกเป็นแผง หรือแยกเป็นเม็ดแล้ว ผู้ตรวจอาจไม่ทราบว่ายาชนิดนั้นคืออะไร อาจทำให้ไม่สามารถนำเข้าไปได้ 2.ยาที่ถูกห้ามนำเข้าประเทศนั้น ๆ หากจำเป็นต้องใช้ยาที่เป็นยาต้องห้ามแล้ว ปรึกษาคุณหมอก็ไม่มียาตัวไหนที่สามารถแทนได้ วิธีการ คือ ให้กรอกแบบฟอร์มขออนุญาตการนำยาเข้าประเทศนั้น และสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ เอกสารการรับรองแพทย์ หากมีโรคประจำตัว ยาที่รักษาไม่ใช่ยาสามัญทั่วไป ควรให้แพทย์เขียนระบุว่า เป็นโรคอะไร และจำเป็นต้องใช้ยาอะไรบ้าง ยังมียาสามัญประจำทริปอีกหลายประเภทที่ควรเตรียมเอาไว้ก่อนออกเดินทาง ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนตัว เช่น ยาทาแผลยาแก้แพ้ สำหรับผู้ที่มีเป็นโรคภูมิแพ้ หรือ สาว ๆ ที่แผนท่องเที่ยวตรงกับช่วงที่มีประจำเดือน ก็ควรจะพก ยาแก้ปวดประจำเดือนเตรียมพร้อมเอาไว้ด้วย หรืออาจจะใช้วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือนก็ได้เช่นกัน การเดินทางท่องเที่ยวคงไม่สนุก ถ้าจะต้องหยุดเดินทางต่อเพราะอาการเจ็บป่วย ดังนั้นการพกพายาที่จำเป็นไปด้วยระหว่างออกเดินทาง จะช่วยให้เป็นทริปที่สนุกสนานตลอดทริป และเพื่อความอุ่นใจในการเดินทาง ขอขอบคุณข้อมูลจาก :https://hd.co.th/common-drugs-for-trips-have-stuckhttps://www.doctoranywhere.co.th/post/items-for-vacation-1?lang=th
Dehec-Z (ดีเฮก-ซี) แร่ธาตุจิ๋ว ประโยชน์แจ๋ว

‘Zinc’ หรือ ‘สังกะสี’ เป็นอีกหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ หรือแม้แต่สตรีมีครรภ์และผู้ที่อยู่ในช่วงกำลังให้นมบุตร ก็ล้วนแต่ต้องการแร่ธาตุสังกะสี รวมไปถึงคนในช่วงวัยทำงานที่อาจไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลเรื่องอาหารการกิน การใช้ อาหารเสริม Zinc จึงเป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยเพิ่มเติมแร่ธาตุที่จำเป็นในร่างกายในชั่วโมงเร่งด่วนและยังเป็นแร่ธาตุจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตหรือเก็บไว้ได้ การรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมจึงเป็นส่วนช่วยเพิ่มแร่ธาตุชนิดนี้ในร่างกาย รู้หรือไม่ว่า ร่างกายขาด Zinc ได้ ? เพราะ Zinc เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ถ้าร่างกายขาดซิงค์เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ กับร่างกาย เช่น เบื่ออาหาร การรับรสและกลิ่นลดลง แผนหายช้า ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นหวัดง่าย ผมร่วง ท้องร่วง การเจริญเติบโตลดลง ถ้าเป็นเด็กจะมีภาวะเตี้ย แคระแกรน ใครบ้างที่ควรรับประทาน Dehec – Z ? 1.ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย Zinc (ซิงค์) มีคุณสมบัติในการช่วยต้านการเพิ่มขึ้นของปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกาย (Antiviral) หยุดการเจริญของเชื้อ รวมทั้งการเกาะจับของเชื้อในร่างกาย และยังมีฤทธิ์ต้านอักเสบ จึงช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ เช่นโรคปอดอักเสบ เป็นต้น 2.ช่วยลดความรุนแรงของโรคหวัดได้ เมื่อเป็นหวัด Zinc (ซิงค์) จะลดความรุนแรงของอาการ ลดระยะเวลาการเป็นหวัด และหายจากโรคหวัดเร็วขึ้น และ หากร่างกายได้รับ Zinc (ซิงค์) ร่วมกับวิตามินซีเป็นประจำทุกวันยังช่วยป้องกันหวัดได้ 3.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย Zinc (ซิงค์) ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสีย ลดอาการอ่อนเพลียจากอาการท้องเสีย และลดความถี่ในการถ่ายท้องเสีย นอกจากนี้ยังช่วยให้หายท้องเสียเร็วขึ้น มีงานวิจัยพบว่า Zinc (ซิงค์) ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสียในเด็กได้ 4.ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต Zinc (ซิงค์) เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างยิ่ง เพราะร่างกายเราใช้แร่ธาตุชนิดนี้ในการสังเคราะห์สารต่างๆ ภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นดีเอ็นเอ (DNA) อาร์เอ็นเอ (RNA) หรือโปรตีน ซึ่งสารโปรตีนเหล่านี้มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ การได้รับ Zinc อย่างเพียงพอจึงอาจช่วยให้ทารกในครรภ์และเด็กสามารถเติบโตตามช่วงวัยได้อย่างเหมาะสม นอกจากการทานอาหารเสริม และการรับประทานอาหารให้หลากหลายเป็นประจำอาจช่วยเพิ่ม Zinc ให้กับร่างกายอย่างเพียงพอ แต่การได้รับ Zinc เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงโดยร่วมได้ ดังนั้นควรออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ **ข้อมูลเพิ่มเติม โรค G6PD โรค G6PD หรือโรคพร่องเอนไซม์จีซิกพีดี คือ โรคที่เกิดจากภาวะการขาดเอนไซม์ “G6PD” การมีระดับของเอนไซม์ G6PD ต่ำกว่าคนปกติ เอนไซม์ ชนิดนี้พบได้ในเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันไม่ให้เม็ดเลือแดงแตกง่าย โดยปกติเม็ดเลือดแดงของคนเราจะมีอายุ 120 วัน แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ชนิดนี้ หากได้รับยาหรืออาหารที่ห้ามรับประทาน เช่น ถั่วปากอ้า จะเป็นตัวกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตก และทำให้เกิดภาวะซีด เหนื่อย อ่อนเพลีย ตัวเหลืองได้ ซึ่งสาเหตุของการบกพร่องทางเอนไซม์ G6PD เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมของโครโมโซมเพศชนิดโครโมโซมเอ็กซ์ มีการถ่ายทอดยีน G6PD เป็นแบบ X-linked recessive จากมารดาโดยมีโอกาสที่ลูกชายจะเป็นโรคร้อยละ 50 ลูกสาวจะเป็นพาหะร้อยละ 50 ดังนั้นโรคนี้จึงพบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.rajavithi.go.th/rj/?p=16725
D’LeVer สุขภาพดี มีได้ทั้งครอบครัว

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร D’LeVer สำหรับทุกๆคนในครอบครัว เพราะคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก ผลิตภายใต้โรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ในการดูแลสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักให้แข็งแรง มารู้จักน้ำมันปลากันเถอะ !! น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่ได้มาจากการสกัดเอาน้ำมันออกมาจากส่วนต่างๆ ของปลา เช่น เนื้อปลา หนังปลา หางปลา หัวปลา โดยปลาทะเลที่นำมาสกัดนั้นเป็นปลาที่อยู่ในทะเลน้ำลึกเขตหนาวเย็น เพราะมี กรดไขมัน Omega-3 ปริมาณมากกว่าปลาน้ำจืด ซึ่งกรดไขมัน Omega – 3 มีสารสำคัญคือ Docosahexaenoic acid (DHA) และ Eicosapentaenoic acid (EPA) ประโยชน์ของ DHA และ EPA คืออะไร ? D’LeVer Fish Oil 1000 – ดีลีเวอร์ ฟิช ออยล์ 1000 มก. (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ให้กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ อีพีเอ และ ดีเอซเอ ใน 1 แคปซูลนิ่มประกอบด้วย น้ำมันปลา 1,000 มก. กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (อีพีเอ) 300 มก. กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอซเอ) 200 มก. ประโยชน์ของ D’LeVer Fish Oil 1000 วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละครั้ง หลังอาหาร D’LeVer Fish Oil Mini – ดีลีเวอร์ ฟิช ออยล์ มินิ น้ำปลาเม็ดเล็ก (ขนาด 60 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ให้กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ อีพีเอ และ ดีเอซเอ ใน 1 แคปซูลนิ่มประกอบด้วย น้ำมันปลา 340 มก. กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอซเอ) 240 มก. กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (อีพีเอ) 10 มก. กรดไขมันอิ่มตัว 6.8 มก. ประโยชน์ของ D’LeVer Fish Oil Mini วิธีรับประทาน: รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล พร้อมหรือหลังอาหาร D’LeVer Fish Oil Lecithin 500 – ดีลีเวอร์ ฟิช ออยล์ เลซิติน น้ำมันปลาผสมเลซิติน (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลนิ่มประกอบด้วย น้ำมันปลา 500 mg กรดไอโคซาเฮกซาตาอีโนอิก (ดีเอชเอ) 125 มก. และ กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก (อีพีเอ) 25 มก. Lecithin 500 มก. ประโยชน์ของ D’LeVer Fish Oil Lecithin 500 วิธีรับประทาน: รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล พร้อมหรือหลังอาหาร D’LeVer QQ Min – ดีลีเวอร์ คิวคิว มิน (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย L –Glutathione 15.5% , Goji Berry Extract 11.7% , Citrus SinesisExtract 10.0% , Turmeric Extract 8.6% , Choline Bitartrate 6.6% , Dandelion Extract 5.0% , Oyster Extract2.5% , Black Pepper Extract 0.25% ประโยชน์ของ D’LeVer QQ Min วิธีรับประทาน: • สำหรับสายปาร์ตี้ แก้เมาค้าง Hang over : รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนดื่ม และ อีก 2 แคปซูล หลังดื่ม• สำหรับสายสุขภาพ บำรุงตับ ช่วยกำจัดสารพิษ : รับประทานวันละ1 ครั้ง ครั้งละ 2 แคปซูล D’LeVer Zinc 15 mg – ดีลีเวอร์ ซิงค์ 15 มก (ขนาด 60 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Zinc BisgycinateChelate 15 mg (zinc ในรูปแบบ BisgycinateChelate สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด และลด side effect เรื่องคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด) ประโยชน์ของ D’LeVer Zinc 15 mg วิธีรับประทาน: • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร• รักษาสิว : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า, เย็น พร้อมอาหาร• เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า, เย็น พร้อมอาหาร• บำรุงผม และเล็บ : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง พร้อมอาหาร D’LeVer Collagen Type II Plus+ – ดีลีเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ ทู พลัส+ (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Collagen Type II 40 mg Bororganic glycine 10% (Boron) 20 mg ประโยชน์ของ D’LeVer Collagen Type II Plus+ วิธีรับประทาน: รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง หลังอาหาร D’LeVer Apple Cider Vinegar 400 mg – ดีลีเวอร์ แอปเปิ้ล ไซเดอร์ เวนิก้า 400 มก (ขนาด 45 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Apple Cider Vinegar Powder 400 mg ประโยชน์ของ D’LeVer Apple Cider Vinegar 400 mg วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร 30 นาที D’LeVer Co Q10 – ดีลีเวอร์ โคคิวเท็น (ขนาด 30 เม็ด) ผลิตภัณฑ์นี้ใน 1 แคปซูลประกอบด้วย Coenzyme Q10 30 mg. จากสารสกัดถั่วเหลือง 370 mg. นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประโยชน์ของ D’LeVer Co Q10 วิธีรับประทาน : แนะนำให้รับประทานวันละ 30 – 100 mg
แผลร้อนใน คือความร้อนมาจากไหน

แผลร้อนใน หมายถึง แผลในเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องปาก เหงือก กระพุ้งแก้ม และลิ้น โดยทั่วไปสามารถหายได้เองใน 5 ถึง 10 วัน โดยในระหว่างที่มีอาการอาจจะรบกวนให้พูดคุย หรือรับประทานอาหารได้ไม่สะดวก สำหรับอาหารที่เรารับประทานก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในได้ ตามทฤษฎีการแพทย์แผนจีน กล่าวว่าร่างกายของเรามีส่วนประกอบระหว่างสภาวะหยิน (เย็น) และสภาวะหยาง (ร้อน) ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารที่เป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียสมดุลจนเกิดแผลร้อนในในช่องปากได้ ในระหว่างที่มีแผลร้อนในหรือแผลในปาก จะมีคำแนะนำเพื่อลดการอักเสบของแผลหรือให้แผลหายเร็วขึ้น ดังนี้ หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นประเภทหยาง (ร้อน) ได้แก่ อาหารรสเผ็ดจัด ผลไม้รสหวานบางชนิด เช่น ลำไย ทุเรียน อาหารทอด เป็นต้น ใช้ยาทาเฉพาะที่ในจุดที่มีแผล หรือรับประทานยาสมุนไพรรสเย็น เช่น ฟ้าทะลายโจร บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หรือในปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นสเปรย์สำหรับช่องปาก ซึ่งมีส่วนผสมของสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาการอักเสบในช่องปาก ดังนั้นถ้ารู้ว่าเราเป็นคนที่เป็นแผลร้อนในบ่อย แนะนำให้รับประทานอาหารประเภทผัก ซึ่งเป็นอาหารประเภทหยิน (เย็น) ที่จะช่วยดับร้อน รวมถึงเครื่องดื่มจะแนะนำเป็น เครื่องดื่มสมุนไพรแบบไม่ใส่น้ำตาล เช่น จับเลี้ยง เก๊กฮวย มะตูม ใบบัวบก เพื่อแก้กระหายน้ำ รวมไปถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพจิตใจ หากิจกรรมคลายเครียด จะได้ไม่เป็นร้อนในบ่อยๆ ให้คุยหรือกินไม่สะดวกได้อีก แหล่งที่มา · Greenery, 2019. สสส. เกร็ดความรู้สุขภาพ. [ออนไลน์] ลิงค์ · Rama Channel, 2017. รายการสามัญประจำบ้าน. [ออนไลน์] ลิงค์ · เชียงใหม่นิวส์, 2019. [ออนไลน์] ลิงค์
ทำไมต้องมีกลิ่นปากหลังตื่นนอน

กลิ่นปากเป็นภาวะที่ทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจ กังวลว่าคนรอบข้างจะรับรู้ถึงปัญหานี้ ครั้งกลิ่นปากเกิดจากปัญหาสุขภาพในช่องปาก เช่น การมีฟันผุ แผลในปาก โรคเหงือกอักเสบ และรวมไปถึงภาวะปากแห้งหรือน้ำลายน้อยด้วย ภาวะปากแห้งหรือน้ำลายน้อย มีสาเหตุได้ ดังต่อไปนี้ พฤติกรรมการดื่มน้ำน้อยในระหว่างวัน การรับประทานยาบางกลุ่ม เช่น ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก โดยอาการปากแห้งจะดีขึ้นหลังจากหยุดยา ความเครียด หรือวิตกกังวล ส่งผลให้ร่างกายกระตุ้นการผลิตน้ำลายลดลง อายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือการมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ ภาวะน้ำลายน้อยเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นปากได้ เนื่องจากโดยปกติน้ำลายจะเป็นตัวช่วยถ่ายสิ่งตกค้างในช่องปากรวมถึงให้ลงสู่ระบบย่อยอาหาร ไม่ให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคซึ่งจะทำให้เกิดกลิ่นปาก สำหรับการที่เรามีกลิ่นปากหลังจากตื่นนอนนั้น เนื่องมาจากตอนนอนร่างกายจะผลิตน้ำลายเพียงครึ่งหนึ่งของตอนกลางวัน รวมถึงการที่เราไม่ได้ดื่มน้ำติดต่อกัน 6 – 7 ชั่วโมง ทำให้เมื่อตื่นเราจะรู้สึกว่ามีกลิ่นปากซึ่งมาจากการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปากนั่นเอง สำหรับผู้ที่มีภาวะปากแห้งหรือน้ำลายน้อย และกังวลว่าจะมีกลิ่นปาก สามารถป้องกันหรือลดการเกิดกลิ่นปากได้ ดังนี้ ดื่มน้ำ อย่างสม่ำเสมอ วันละ 8 – 10 แก้ว รับประทานอาหารให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน หากิจกรรมดูแลตนเองเพื่อคลายความเครียด หรือวิตกกังวล ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพในช่องปากที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้ง เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื่นในช่องปาก แหล่งที่มา · โอปิลันธน์, ท., n.d. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี. [Online] Available at: ลิงค์ [Accessed September 2020].
แผลในปาก แสนแสบกับแผล (ไม่) เก่า แผลแบบไหนต้องไปหาหมอ

“อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ เจ็บจำดั่งหนามยอกแปลบๆ แสบแสนจะทน..” นี่คือเพลงแสนแสบ ของครูชาลี อินทรวิจิตร ประกอบภาพยนตร์เรื่องแผลเก่า แต่บางคนมีทั้งแผลเก่า และแผลใหม่ ในช่องปาก เป็นบ่อยเข้า จะยังเรียกว่าเป็นแค่ร้อนในแผลในปาก หรือจะมีโรคอื่นอันตรายกว่านั้น วันนี้เรามีข้อสังเกต เพื่อเฝ้าระวังแผลในปากที่ควรจะต้องพบแพทย์ ลักษณะของแผลในปากแบบทั่วไป ขนาดของแผล โดยทั่วไปจะไม่เกิน 1 ซม. แต่บางครั้งอาจจะมีแผลขนาดใหญ่กว่า 1 ซม. แต่จะไม่ใช่แผลลึก ระยะเวลาของแผล ใช้เวลา 1 – 2 สัปดาห์ ก็จะหายสนิท สาเหตุกระตุ้น เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การกัดโดนกระพุ้งแก้ม หรือการขูดเกี่ยวระหว่างแปรงฟัน หรือจากอุปกรณ์จัดฟัน หรือการรับประทานอาหารฤทธิ์ร้อน เป็นต้น อาการแผลในปากโดยทั่วไปสามารถบรรเทาได้ โดยการบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ การใช้ยาสเตียรอยด์ทาเฉพาะที่ และการรับประทานยาสมุนไพรเพื่อลดอาการร้อนใน ถ้าหากมีอาการแผลอักเสบรุนแรง หรือเป็นมากกว่า 2 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์ เพราะอาจจะมีโรคอื่นร้ายแรง เช่น มะเร็งช่องปาก ซึ่งจะมีความแตกต่างจากลักษณะแผล หรือพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผล แผลในปากเป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวด และเป็นอุปสรรค ทั้งการกิน และการพูดคุย อีกทั้งยังทำให้เสียบุคลิกภาพ หากแผลเริ่มเป็นหนอง และทำให้เกิดกลิ่นปาก เราสามารถดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดแผลในปากได้ เช่น การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และของทอด ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลความสะอาดของช่องปากด้วยการแปรงฟันเป็นประจำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น แหล่งข้อมูลอ้างอิง BetterTeeth Thailand, แผลในปาก เป็น ‘ร้อนใน’ หรือ ‘มะเร็งช่องปาก’?. [Online] Available at: http://betterteeththailand.com/2018/is-it-a-canker-sore-or-oral-cancer/[Accessed July 2021]. BFC DENTAL, n.d. ความรู้เกี่ยวกับฟัน จาก BFC DENTAL. [Online] Available at: https://blog.bfcdental.com/what-are-the-causes-of-mouth-ulcers[Accessed July 2021]. Thai Health, n.d. Thai Health Digital Object Library. [Online] Available at: https://dol.thaihealth.or.th/Media/Index/2b97164b-59f3-e711-80e3-00155d65ec2e?isSuccess=False[Accessed July 2021].